นับตั้งแต่หลังปี 2011 เป็นต้นมา ราคาทองก็มุ่งหน้าสู่แดนใต้ พยายามเด้งขึ้นเหนือเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถไปได้ไกลอย่างที่ใครทุกคนหวังกันเลยนะครับ

เล่าย้อนกลับไป อะไรที่ทำให้ราคาทองพุ่งเป็นขาขึ้นในช่วงก่อนปี 2011 ก็เพราะว่า หลังวิกฤตเศรษฐกิจที่สหรัฐฯในปี 2009 นั้น สหรัฐฯลดดอกเบี้ยให้เหลือ 0.25% และพยายามออกมาช่วยเหลือเหล่าสถาบันการเงินที่ขาดทุนยับเยินจากการลงทุนในตราสารที่ผิดพลาด ซึ่งวิธีช่วยเหลือก็คือ การปั๊มเงินดอลล่าร์สหรัฐฯออกมาใช้แบบหน้าตาเฉย แล้วเอาเงินเหล่านี้ไปซื้อพันธบัตรสหรัฐฯ ไปซื้อหนี้เสียจากเหล่าสถาบันการเงิน ทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดต่ำลง (มีผลให้ต้นทุนเงินกู้ต่ำลง) และทำให้งบดุลของสถาบันการที่ขายหนี้เสียออกมานั้นสะอาดขึ้นทันตาเห็นและกับการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯเข้าไปถือหุ้นบางส่วน เพื่อตรวจสอบและควบคุมกิจการ

 

หัวใจหลักที่ตลาดมองเห็นก็คือ ปั๊มเงินดอลล่าร์สหรัฐฯออกมาแบบนี้ แปลว่า ปริมาณเงินดอลล่าร์ในระบบกำลังจะเยอะขึ้น เมื่อคิดว่า ดอลล่าร์สหรัฐฯจะเยอะขึ้นไปเรื่อยๆ นักลงทุนก็พยายามแปลความหมายครับว่า อย่างนี้ เราทุกคนต้องหนีไปถือสินทรัพย์อื่นที่ไม่ใช่ USD เสียแล้ว เพราะ การปั๊มเงินเข้าระบบ ที่เรียกว่า QE (Quantitative Easing ไว้จะตีแผ่กลไก QE ให้อ่านในบทความชิ้นต่อไปถ้าสนใจกัน) จะทำให้ค่าเงิน USD อ่อนค่าในระยะยาว

 

จงตอบคำถามว่า “สินทรัพย์อะไรควรได้ประโยชน์จากการที่ USD มีแนวโน้มค่าอ่อน?”

นักลงทุนทั้งหลายก็ต่างยกมือแย่งกันตอบพร้อมๆกันว่า “ทองคำไง!!”

 

นั้นคือที่มาว่า ทำไมในช่วงนั้นราคาทองถึงถูกไล่ซื้อจากระดับ $700 ขึ้นมาทำจุดสูงสุดในวันที่ 5 ก.ย. 2011 ที่ระดับ $1,902  ซึ่งกลุ่มนักลงทุนที่พากันเข้าไปซื้อทองคำก็คือ เหล่านักลงทุนรายย่อยอย่างเราๆท่านๆนี้ละครับ แต่เป็นกันทั้งโลก โดนแรงซื้อที่ลากราคาขึ้นไปได้ ก็มาจากการลงทุนผ่านกองทุนประเภท ETF อย่างเช่น SPDR Gold Trust กองทุน ETF ที่ใหญ่ที่สุดในโลกนั่นเองครับ

 

แล้วหลังจากนั้นมันเกิดอะไรขึ้นครับพี่ ทำไมพี่ทองไม่ได้เข้ารอบต่อไป ไหงหล่นจาก $1,900 มาไกลเหลือเกิน?

เพราะค่าเงิน USD มันส่งสัญญานว่า จะไม่อ่อนไปมากกว่านั้นครับ ที่ไม่อ่อนค่าต่อ เป็นเพราะ มาตรการ QE ที่สหรัฐฯใช้มาตั้งแต่ปี 2009 จนถึงปี 2011 นั้น เริ่มทำให้เห็นแล้วว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัวได้จริง ไม่ใช่ลงหลุมอย่างที่ใครหลายๆคนพยายามแช่งเค้าทุกวี่วัน

 

ต้องบอกก่อนนะครับ ว่า ความต้องการทองคำในอุตสาหกรรม หรือการลงทุนในประเภทอื่นที่ไม่ใช่ ETF นั้น ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยหรือลดลงอย่างมีนัยแต่อย่างใด ดังนั้นเป็นที่เข้าใจตรงกันว่า กลุ่มคนทุบราคาทองคำจาก $1,900 มาจนถึง $1,100 ที่เราเห็นตอนนี้ ก็คือ เหล่านักเก็งกำไร นักลงทุนที่ลงทุนในกองทุน ETF ร่วมกับเหล่า Hedge Fund ที่สามารถทำกำไรขาลงได้นั้นเอง


ทอง เคยจะขึ้นไปถึง $2,000 ความหวังแบบนั้นยังมีอยู่ไหม3
 

สภาพเศรษฐกิจ และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการลงทุนในทอง ค่อยๆหายไปทีละเหตุผล

 

  1. ทองจะวิ่งได้ดี ถ้าค่าเงิน USD อ่อนค่า ปรากฎว่า ณ วันนี้ USD เดินหน้าแข็งค่าเรื่อยๆเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงิน
  2. ทองจะวิ่งได้ดี ถ้าโลกนี้มีอัตราเงินเฟ้อ ปรากฎว่า เศรษฐกิจยุโรปยังเปราะบาง ขณะที่ญี่ปุ่นก็พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ และที่อื่นๆก็ดูเหมือนเศรษฐกิจยังไม่สามารถขยายตัวได้เต็มศักยภาพ ทำให้คาดการณ์เงินเฟ้อใน 6-12 เดือนข้างหน้า ยังชัดว่า เงินเฟ้อยังไม่มา
  3. ทองจะวิ่งได้ดี ถ้าโลกมีความปั่นปวน หรือมีกลิ่นของสงคราม ปรากฏว่า เรื่องความขัดแย้งในตะวันออกกลางก็แล้ว ความตึงเครียดระหว่างยุโรปและรัสเซียก็แล้ว ร่วมถึงความเสี่ยงที่กรีซจะออกจากยูโรโซนก็แล้ว โลกก็ผ่านเหตุการณ์เหล่านี้มาได้ (อาจจะแบบลุ้นๆหน่อย) ทำให้ทอง ไม่มีคนหันมามองซักกะที
  4. ทองจะมี Story ยาวๆที่ดี เมื่อธนาคารกลางทั่วโลก พยายามเก็บทองคำเข้าคลังมากกว่าเก็บ USD แต่ผลรายงานจาก World Gold Council กลับออกมาว่า ประเทศในยุโรปก็แอบขายทองนิดๆ และประเทศอื่นๆก็ไม่ได้ตั้งหน้าเก็บทองมากเท่าที่ใครๆคิด แถมล่าสุด ประเทศที่ดูจะต่อกรกับสหรัฐฯได้ดีที่สุด ณ ชั่วโมงนี้อย่างจีน ดูตัวเลขแล้วก็พบว่า มีทองคำเป็นเงินทุนสำรองเท่ากับ 60,900 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1.6% ของยอดเงินทุนสำรองต่างประเทศทั้งหมดของจีนแค่นั้นเอง เทียบกับค่าเฉลี่ยของการเก็บทองคำเป็นเงินทุนสำรองของประเทศอื่นๆทั่วโลกอยู่ที่ 10% ของทุนสำรองทั้งหมด นับว่าเป็นเรื่องที่ Surprise ตลาดพอควรที่จีนไม่ได้พยายามตั้งหน้าตั้งตาเก็บทองอย่างที่ใครคิด

เห็นไหมครับ เหตุผลในการถือทองคำมันหมดไปทีละข้อแบบนี้ จะให้ราคาทองกลับเป็นขาขึ้นได้อย่างไรกัน

 

 

แล้วเมื่อไหร่ราคาทองจะหยุดลง?

 

จากการสำรวจเหมืองทองที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อปี 2013 โน้นเลยนะครับ เค้าว่ากันว่า ต้นทุนของการขุดทองจนถึงขั้นส่งมอบไปยังผู้ซื้อ ณ ตอนนั้นเฉลี่ยอยู่ที่ $919 ตอนนี้ผมก็ว่า ไม่ต่างจากวันนั้นเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น ราคาทองที่น่าสนใจ ก็คือ ราคาที่ใกล้ต้นทุน เพราะถ้าราคาตลาดโลกมันลงมาเท่ากับ หรือตำ่กว่าทุนขึ้นมา เชื่อว่า จะมีเหมืองทองขนาดเล็กที่ขุดไปก็ขาดทุน ปิดตัวลงทำให้กำลังการผลิตทองลดลงไปด้วย เมื่อนั้นราคาน่าจะหาเสถียรภาพได้ แต่ถ้าถามว่าจะเห็นไหมที่ราคา $919 ขอตอบตรงๆว่า “ไม่รู้ครับ”

 ทอง เคยจะขึ้นไปถึง $2,000 ความหวังแบบนั้นยังมีอยู่ไหม3

 

ทองจะกลับเป็นขาขึ้นได้จริงๆ คงต้องเห็นเหตุการณ์เหล่านี้ครับ เศรษฐกิจโลกต้องฟื้นตัว มีอัตราเงินเฟ้อ ค่าเงินดอลล่าร์ต้องอ่อนค่าลง และเหล่าธนาคารกลาง และนักลงทุนใน ETF ต้องกลับมาซื้อทอง 

ตอนนี้ยังไม่เห็นครับ เพราะฉะนั้นความหวังเห็นราคาทองตลาดโลกที่ $2,000 หรือราคาทอ