หลายคนบ่นกันเมื่อวานครับ ว่าอยากอ่านให้จบ แต่เนื่องจากว่ามันยาวมากจริงๆครับ เลยต้องขอแบ่งเป็น 2 ตอน อย่ามัวเสียเวลา เรามาดูกันเลยดีกว่า

ต่อมาเรามาดูญี่ปุ่นกับครับ

จากเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2014 ที่ประเทศญี่ปุ่นได้มีการปรับเพิ่ม VAT หรือเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม เพิ่มขึ้นนั่นเองครับ ที่ผ่านมาญี่ปุ่นได้มีการปรับขึ้น VAT จาก 5 % เป็น 8% ซึ่งผลจากการขึ้น VAT นี้ในครั้งนี้ นอกจากจะทำให้สินค้าต่าง ๆ ในประเทศต้องปรับราคาขึ้นมาทำให้นักท่องเที่ยวของไทย ที่ไปญี่ปุ่นในช่วงหลังเดือนเมษายน เป็นต้นมา ต้องเผชิญกับข้าวของที่แพงขึ้นแล้ว ก็ยังมีประเด็นที่น่าสนใจโดยตรงต่อเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นในญี่ปุ่นค่อนข้างมากครับ

ช่วง 15 ปีที่ผ่านมานั้นประเทศญี่ปุ่นมีการขาดดุลการค้าที่ค่อนข้างมาก รวมมีหนี้สูงถึง 212% เกินกว่า GDP ของตนเอง แต่ส่วนใหญ่เจ้าหนี้จะเป็นประชาชนญี่ปุ่นเอง จึงไม่ค่อยมีปัญหาในการจ่ายหนี้ แต่ก็ยังอยู่ในภาวะเงินฝืด เพราะประชาชนส่วนใหญ่จะเก็บเงินไว้ค่อนข้างมาก

ดังนั้นหลังจากมีการใช้นโยบายผ่อนปรนทางการเงินขึ้น ทำให้ประเทศที่มีภาวะถดถอยเป็นเวลานานเริ่มที่จะฟื้นตัวได้ และหลุดพ้นจากการถดถอยได้เป็นผลสำเร็จ ต่อมาจึงมีแนวคิดที่จะลดภาระหนี้สินที่เกิดขึ้น โดยดึงเม็ดเงินจากประชาชนออกมา ด้วยการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มให้มากขึ้น จึงเป็นผลให้สินค้าที่ใช้บริโภคภายในประเทศทั้งหมดนั้นมีราคาเพิ่มขึ้น ถ้ามองในมุมของผู้บริโภคนั้นดูเหมือนจะเป็นการกดดันให้คนไม่กล้าใช้เงินมาก แต่ทางการญี่ปุ่นเองก็ได้ใช้มาตราการต่างๆ เช่น ให้บริษัททยอยขึ้นเงินเดือนพนักงานไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และทำต่อเนื่องหลังการขึ้น VAT ครั้งนี้ ถ้าหากการชะลอตัวของการซื้อสินค้ามากเกินกว่าที่รัฐบาลญี่ปุ่นคาดการณ์ไว้ รัฐบาลก็มีความพร้อมในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ดังนั้นจึงมีหลายฝ่ายได้คาดการณ์ว่าการปรับเพิ่ม VAT ในครั้งนี้คงจะกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นแค่เพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น แต่จุดสำคัญคือ การปรับ VAT ขึ้นนั้นจะกระทบต่อผลประกอบการ และ ราคาของหุ้นในตลาดหุ้นญี่ปุ่นในรูปแบบไหนกันแน่ ซึ่งการเพิ่ม VAT ในช่วงแรกนั้นจะทำให้บริษัทที่ขายสินค้าอุปโภค-บริโภค มีรายได้ที่ลดลงเนื่องจากประชาชนอาจจะมีการชะลอการซื้อสินค้าฟุ่มเฟื่อยต่าง ๆ ออกไป เพราะก่อนหน้านี้ได้มีการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยไปแล้วก่อนที่ VAT จะขึ้นไปก่อนหน้านี้ และมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ ครับ เศรษฐกิจญี่ปุ่นเองยังคงมีปัญหาจากที่การบริโภคลดลงครับ แต่ก็ต้องดูกันต่อนะครับ

ข้อสำคัญอีกประการที่เราคาดว่าที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ใช้วิธีการเพิ่ม VAT ในครั้งนี้ เพราะประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศที่มีการผลิตเพื่อการส่งออกค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหนักอย่างรถยนต์ และเครื่องจักร ต่าง ๆ ดังนั้นการขึ้น VAT ในครั้งนี้คงจะส่งผลต่อบริษัทที่ส่งออกค่อนข้างจะน้อยกว่าบริษัทในกลุ่มที่เป็นการค้าปลีกภายในประเทศ รวมถึงก่อนหน้านี้ ได้มีการผ่อนคลายนโยบายการเงินค่อนข้างมาก ทำให้ค่าเงินอ่อนลงเหมาะสมกับการส่งออกสินค้าไปยังนอกประเทศอีกด้วย

ประเด็นที่สำคัญก็คือ การลงทุนในกองทุนญี่ปุ่นที่มีอยู่ในขณะนี้ ที่ลงทุนในหุ้นที่มีขนาดเล็กนั้นอาจจะได้รับผลกระทบมากกว่า การลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่เน้นการส่งออกเป็นหลัก ซึ่งอาจจะได้รับผลกระทบต่อการปรับขึ้นของ VAT ในครั้งนี้ น้อยกว่าการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กที่ไม่ได้เน้นการส่งออกนั่นเอง

ถึงแม้ช่วงนี้ญี่ปุ่นจะดูน่าสนใจ เพราะว่าญี่ปุ่นนั้นเริ่มที่จะ "กลับมา" ผมหมายถึง เศรษฐกิจโดยรวมของทั้งประเทศญี่ปุ่นที่กำลังดูดีขึ้น จากนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการ เพิ่มการลงทุนซ่อมบำรุงโครงสร้างพื้นฐาน และพยายามทำให้ค่าเงินอ่อนตัวลง เพื่อให้ส่งออกได้ดีขึ้น เนื่องจากญี่ปุ่นเองนั้น เศรษฐกิจขึ้นกับอุตสาหกรรมหนัก และ การส่งออก นั่นเอง

ข้อดีอีกประการคือ ทำให้ค่าใช้จ่ายการท่องเที่ยวนั้นถูกลงครับ แต่ทว่า เรื่องที่น่ากังวลเรื่องสุดท้าย คือ การเพิ่ม VAT อีกครั้งในปีหน้าครับ !! คือ ในช่วงประมาณเดือนตุลาคม หรือ อีกประมาณ 1 ปีข้างหน้านี้ จะมีการขึ้นจาก 8% ไปเป็น 10 % ครับ (โอ้ว!!) ซึ่งผมมองแล้วว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นถึงจะดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้ดีขึ้นมาก จนเราวางใจได้ว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่น หรือ เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะฟื้นได้จริง ๆ ซึ่งเราคงต้องติดตามกันต่อครับ ว่า นายก อาเบะ จะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร หรือ จะเลื่อนการขึ้น VAT ออกไปจนทุกอย่างดีขึ้น ?? คงต้องเอาใจช่วยกันนะครับ สู้ต่อไป ทาเคชิ !!! ไม่ใช่สิ นายก อาเบะ !!! สรุป ญี่ปุ่นต้องรอดูทีท่าของรัฐบาล และ แนวโน้มการบริโภคว่าจะเติบโตได้หรือไม่ครับ

สุดท้ายเรามาดูกันที่ประเทศไทยของเรากันนะครับ

บ้านเราหลังจากที่ คสช. ได้เข้ามาควบคุมสถานการณ์ และได้มีการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงมีการปฏิรูปหลายด้าน ก็ดูเหมือนว่ากำลังจะไปได้ด้วยดีครับ แต่เราก็ต้องติดตามกันต่อครับ ว่าการบริหารงานของรัฐบาลนี้ จะออกมาเป็นอย่างไรครับ ส่วนการปฏิรูป ภาษี และ พลังงานก็ดูแล้ว น่าสนใจมาก ๆ ครับ แต่ก็ยังหาข้อสรุปที่ชัดเจนยังไม่ได้

แต่ปลายปีนี้ - กลางปีหน้า เราอาจจะได้เห็นอะไร ๆ ใหม่ ๆ ในประเทศไทยเราอย่างแน่นอนครับ แต่เนื่องจากว่าตลาดหุ้นบ้านเรามันขึ้นกับตลาดต่างประเทศด้วยครับ ดังนั้น เรามาดูกันครับ ว่าถ้า ประเทศต่าง ๆ ที่ดูแล้วปีนี้มีเศรษฐกิจที่ดูดีขึ้น เกือบทั้งหมดจะส่งผลต่อบ้านเราอย่างไรกันครับ ดังนั้นปัจจัยภายในบ้านเราผมยังมองว่าไม่บวก ไม่ลบครับ และไม่น่าที่จะมีปัญหาอะไรในระยะ 1-2 ปีนี้ครับ

ผลกระทบจากการที่สหรัฐขึ้นอัตราดอกเบี้ย  ?? โอ้เป็นคำถามที่ดีครับ (ใครถามอีกละ ?)

ผลกระทบคือ ตลาดหุ้นบ้านเราอาจจะปรับตัวลดลงได้ครับ แต่ผมเชื่อว่าไม่มาก เนื่องจากการปรับดอกเบี้ยขึ้นของสหรัฐ คงไม่ได้ขึ้นแบบ พรวดพราด ดังนั้นไม่ต้องกังวลไปครับ ถ้าเรามั่นใจว่าพื้นฐานเศรษฐกิจในบ้านเราดี ต่างชาติก็ต้องมาลงทุ&