จะว่าไปแล้วถ้าย้อนกลับไปนึกถึงโฆษณาเก่าๆ สมัยเด็กก็จำความได้ว่า ผลิตภัณฑ์ของโอสถสภาเป็นอะไรที่ได้ยินมาตลอดและแบรนด์ยังคุ้นหูมากๆ

แถมอยู่รอบตัวเรามาทุกช่วงวัย ตั้งแต่เบบี้มายด์, เอ็ม-150, ลิโพวิตัน-ดี, เปปทีน, แบนเนอร์ รวมถึงทเวลฟ์พลัส ที่เป็นผลิตภัณฑ์ความงามสำหรับผู้หญิง

นอกจากนี้ ยังมีลูกอมโอเล่ที่เป็นผลิตภัณฑ์เก่าแก่ของบริษัทฯ ซึ่งทุกวันนี้ยังร้องเพลง สตรอว์เบอร์รี โอเล่ หวานฉ่ำ หอมชื่นใจอร่อยถึงใจจริงๆ ได้อยู่เลย (แหนะ รู้นะว่าแถวนี้ก็ร้องกันได้)

การที่ "โอสถสภา" เป็นบริษัทที่อยู่มาได้ถึงร้อยกว่าปีนี่ถือว่าไม่ธรรมดานะครับ

ถ้าเราลองสังเกตผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทฯ จะเห็นได้เลยว่า ผลิตภัณฑ์ของโอสถสภาทั้งเครื่องดื่มบำรุงกำลัง เครื่องดื่มสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการประโยชน์ในการเสริมสร้างความจำและประโยชน์ด้านสุขภาพอย่างอื่น แป้งเย็นและแป้งน้ำหอม ฯลฯ มาจากวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ คือ “พลังเพื่อเสริมสร้างชีวิต” (The Power to Enhance Life) ที่มุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อเสริมสร้างชีวิตประจำวันของผู้บริโภคให้ดีขึ้นนั่นเองครับ

พอผมรู้ข่าวว่า "โอสถสภา" จะมีการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในชื่อว่า "OSP" ก็รู้สึกว่าน่าสนใจทีเดียว

เพราะเชื่อว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นของที่เราใช้กันทั่วไป และถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่แบรนด์ติดหูอยู่แล้วจะยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือในการแข่งขันขึ้นไปอีก ลูกค้าก็ย่อมเลือกเป็นอันดับต้นๆ

ซึ่งในบทความนี้ผมจะ Review ภาพรวมของธุรกิจ ไปจนถึงเรื่องของผลการดำเนินงานที่ผ่านมาให้ได้อ่านนะครับ

REVIEW ธุรกิจของ "โอสถสภา"

แรกเริ่มเลย มารู้จักโครงสร้างของธุรกิจของโอสถสภาก่อนนะครับ โดยสามารถแบ่งกลุ่มธุรกิจออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่

1. กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มที่ไม่ผสมแอลกอฮอล์

เครื่องดื่มบำรุงกำลัง เครื่องดื่มเกลือแร่ กาแฟพร้อมดื่ม และเครื่องดื่มที่มีการเติมส่วนผสมเพื่อให้ได้คุณสมบัติเฉพาะ (Functional Drinks) โดยในตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังนั้น กลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ครองสัดส่วนอยู่ 54.4% ของมูลค่าตลาดค้าปลีกของเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศ (ข้อมูลปี 2560 จากฟรอส์ท แอนด์ ซัลลิวัน (Frost & Sullivan))

2. กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล

ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก แบรนด์เบบี้มายด์ ซึ่งเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กอันดับหนึ่งในประเทศไทย* และผลิตภัณฑ์ความงามสำหรับผู้หญิงแบรนด์ทเวลฟ์พลัส ที่มุ่งเน้นกลุ่มผู้หญิงวัย 18-25 ปีที่มีวิถีชีวิตคล่องแคล่วและทันสมัย

3. ธุรกิจบริการบริหารจัดการด้านซัพพลายเชน

ธุรกิจบริการผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและของใช้ส่วนบุคคล และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เช่น กฤษณากลั่นตรากิเลน ทัมใจ และอุทัยทิพย์ การผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มภายใต้สัญญากับกิจการร่วมค้า ซี-วิต และคาลพิส รวมถึงการจำหน่ายขวดแก้วภายใต้สัญญาบริการผลิตสินค้า (Original Equipment Manufacturer (OEM))

4. กลุ่มธุรกิจอื่นๆ

ธุรกิจลูกอม เช่น ลูกอมโอเล่ และโบตัน และเงินลงทุนอื่นๆ

*เมื่อพิจารณาจากมูลค่าตลาดค้าปลีกสำหรับปี 2560 (โดยไม่รวมผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมเด็กทารก) ทั้งนี้ เป็นไปตามรายงานของนีลเส็น (Nielsen)

จุดแข็งของบริษัทฯ

ถ้าเรามาวิเคราะห์จุดแข็งของบริษัทฯ จะเห็นได้ว่าโอสถสภามีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและแบรนด์ที่โดดเด่น โดยบริษัทฯ มีความเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในแต่ละยุค อีกทั้งสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายของแต่ละผลิตภัณฑ์ได้เป็นอย่างดี

สังเกตดูได้นะครับว่า แบรนด์บางแบรนด์ของโอสถสภาที่เป็นแบรนด์เก่าแก่แต่ผลิตภัณฑ์กลับไม่เก่านะครับ เพราะมีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อปรับตัวให้ทันยุคทันสมัยตลอด

อย่าง เครื่องดื่ม "โสมอิน-ซัม" ที่เปิดตัวมาตั้งแต่หลายปีก่อน ตอนนี้ก็มีการปรับตำแหน่งทางการตลาดให้ชัดเจนมากขึ้น โดยเน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้หญิง และมี “ดร.บุ๋ม-ปนัดดา” เป็นพรีเซนเตอร์

ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังเมืองไทยก็ว่าได้ เพราะที่ผ่านมายังไม่มีใครใช้พรีเซนเตอร์หลักเป็นผู้หญิงมาก่อน!

โสมอิน-ซัม และ ดร. บุ๋ม-ปนัดดา พรีเซนเตอร์คนใหม่

อีกตัวอย่างคือ ผลิตภัณฑ์ทเวลฟ์พลัส (Twelve Plus) ที่มีการขยายกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้น และปรับโลโก้แบรนด์เพื่อให้เข้ากับภาพลักษณ์ทางการตลาด ซึ่งเน้นคุณสมบัติในเรื่องความหอมและความเยาว์วัย โดยจะเน้นสื่อสารผ่านทาง Social Media เพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้า Gen ใหม่ๆ ในยุค 4.0 อีกด้วย

Twelve Plus x BNK48 กับน้ำหอมเฉพาะตัวของ เป็นที่สนใจใน Social Media อย่างมาก

"ในมุมมองนักลงทุน ผมจะไม่เป็นห่วงกับการปรับตัวของผลิตภัณฑ์ของโอสถสภาเลยนะ เพราะเขามีทีมงานที่แข็งแกร่งพร้อมปรับตัวให้ทันยุคทันสมัยและเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย"

นอกจากนี้ จุดแข็งอีกอย่างหนึ่งคือ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ สามารถหาซื้อได้ทั่วไป ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเมียนมาร์ ลาว และกัมพูชา ก็ยังมีวางขายอีกด้วยครับ ตอนผมไปเที่ยวเมียนมาร์ ยังเคยเจอผลิตภัณฑ์ของโอสถสภาในซุปเปอร์มาร์เก็ตเลย

สัดส่วนรายได้ของบริษัทฯ

จากข้อมูลที่ปรากฏในร่างหนังสือชี้ชวนจะเห็นได้ว่า สำหรับข้อมูลงบรายปี รายได้ของบริษัทฯ เติบโตในปี 2558 - 2559 แต่รายได้ลดลงในปี 2560 เนื่องจากการบรรลุข้อตกลงใหม่กับทางคู่ค้าที่จะนำแบรนด์ของเขากลับไปทำเอง จึงทำให้รายได้ตรงนี้ลดลงไป แต่ธุรกิจหลักอย่างเครื่องดื่มที่ไม่ผสมแอลกอฮอล์และของใช้ส่วนบุคคล ก็ยังดำเนินกิจการต่อนะครับ

โดยบริษัทฯ มีรายได้ที่สม่ำเสมอจากผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเป็นรายได้หลัก ล่าสุดในงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 มีรายได้จากธุรกิจเครื่องดื่มอยู่ที่ 9,486.5 ล้านบาท คิดเป็น 77.7%, ผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลมีรายได้ 1,180.2 ล้านบาท คิดเป็น 9.7% และส่วนที่เป็นการให้บริการด้านซัพพลายเชน มีรายได้ 1,296.1 ล้านบาท หรือ 10.6% ของรายได้จากการขายและการให้บริการของบริษัทฯ

ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ

หากเรามาดูข้อมูลงบกำไรขาดทุนแบบเบ็ดเสร็จ บริษัทฯ มีกำไรสุทธิและอัตรากำไรสุทธิ ดังนี้

  • ในปี 2558 มีกำไรสุทธิ 2,336.0 ล้านบาท    อัตรกำไรสุทธิ 7.3%
  • ในปี 2559 มีกำไรสุทธิ 2,980.5 ล้านบาท    อัตรากำไรสุทธิ 9.0%
  • ในปี 2560 มีกำไรสุทธิ 2,939.2 ล้านบาท    อัตรากำไรสุทธิ 11.2%

งวด 6 เดือนแรกของปี 2561 มีกำไรสุทธิ 1,471.9 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 11.7%

ถ้าสังเกตดูงบรายปี แม้รายได้จากบริการด้านซัพพลายเชนจะลดลงเนื่องจากยกเลิกธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าของยูนิชาร์มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560 แต่ในปี 2560 บริษัทฯ ก็ได้มีการปรับลดต้นทุนอื่นๆ จำนวนมาก ทั้งในส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและค่าใช้จ่ายในการบริหารหลังการปรับโครงสร้างองค์กร รวมถึงค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและการทำโปรโมชั่น ทำให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น

ทำไมโอสถสภาจึงน่าสนใจ?

โดยส่วนตัวนะครับ ผมว่า "โอสถสภาเป็นบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์และแบรนด์ที่แข็งแกร่งมากๆ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทุกคนรู้จักและซื้อกันอยู่ทุกวัน และมีเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่กว้างขวาง"

ซึ่งผลิตภัณฑ์หลักๆ นั้นยังครองส่วนแบ่งการตลาดในระดับสูง และที่สำคัญคือทีมงานมีการปรับตัว พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ในผลิตภัณฑ์ประกอบกับมีฐานการผลิตที่ครบวงจรและยืดหยุ่นส่งผลให้การดำเนินงานที่ผ่านมาสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ และด้วยการปรับตัวขององค์กรทำให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

อย่าลืมติดตาม IPO และการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ นะครับ แล้วถ้ามีข้อมูลเพิ่ม ผมจะแจ้งให้ทราบนะครับ…

บทความนี้เป็น Advertorial