เท่าที่ผมสังเกตดูนะ ผมว่า GULF เป็นหุ้นหนึ่งที่มีนักลงทุนพูดถึงกันเป็นจำนวนมาก และตั้งแต่นำหุ้นเข้าตลาดตั้งแต่ปี 2560 นั้น ราคาก็ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้นักลงทุนยิ้มกันเลยทีเดียว ซึ่งก็คงไม่น่าแปลกใจอะไรหากเราได้ติดตามพื้นฐานที่มีการเติบโตจากวิสัยทัศน์ของผู้บริหารและการดำเนินงานของทีมงาน นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าบริษัทมีแผนต่อยอดธุรกิจอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาอีกด้วย

ในปัจจุบันบริษัทนี้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นบริษัทจดทะเบียนอยู่ในกลุ่ม SET50 SET100 FTSE และ MSCI และได้รับรางวัลมากมายในเวทีการเงินการลงทุน เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมเลยนะครับ ถือว่าเป็นบริษัทที่น่าจับตามองเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

ถ้าใครได้อ่านรายงานประจำปี 2561 จะรู้ได้เลยว่าความสำเร็จของ GULF นั้นก็มาการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมจากวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ซึ่งทางคุณสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารได้กล่าวว่า

“ปีที่ผ่านมานั้น นับเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายการพัฒนาบริษัทให้เป็นบริษัทพลังงานที่ได้รับความเชื่อถือในระดับสากล อีกประเด็นหนึ่งที่เราได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งคือการสร้างผลประกอบการที่ดีควบคู่ไปกับการพัฒนาที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสังคม”

หากเราวิเคราะห์สิ่งที่คุณสารัชถ์กล่าว จะสะท้อนให้เห็นความสำเร็จจากวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่เป็นกุญแจไปสู่ความสำเร็จในด้านต่างๆ ดังนี้ครับ

- การสร้างผลประกอบการที่ดี

- การพัฒนาและต่อยอดธุรกิจทั้งในไทยและในระดับสากล

- การพัฒนาที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสังคม

ซึ่งในปี 2561 นั้นทางบริษัทก็มีจุดเด่นในเรื่องการดำเนินงานได้แก่ การดำเนินงานของโครงการโรงไฟฟ้าจำนวน 4 โคงการ กำลังผลิตไฟฟ้ารวม 510 เมกะวัตต์และพลังงานไอน้ำรวม 65 เมกะวัตต์ มีโครงการจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติทางท่อของบริษัท รวมถึงขยายธุรกิจไปสู่ต่างประเทศไม่ว่าจะเป็น CLMV และในตะวันออกกลาง รวมถึงการดำเนินการก่อนสร้างโรงไฟฟ้าไปตามแผนที่วางไว้ ซึ่งเราสามารถแกะรอยความสำเร็จในด้านต่างๆ กันได้ดังนี้นะครับ

1) การสร้างผลประกอบการที่ดี

แน่นอนว่าการที่ราคาหุ้นจะปรับตัวและเติบโตได้ในระยะยาวนั้น ส่วนหนึ่งมาจากพื้นฐานของกิจการที่ดี มีการเติบโตของรายได้และผลกำไร รวมถึงความคาดหวังที่นักลงทุนมีต่อบริษัทอีกด้วย จากข้อมูลผลการดำเนินงานของบริษัทแล้วจะเห็นได้ว่า ยอดขายและกำไรมีการเติบโตขึ้นดังนี้

รายได้จากการขายและการบริหารรวม 

  • ปี 2559 รวม 241 ล้านบาท
  • ปี 2560 รวม 4,350 ล้านบาท
  • ปี 2561 รวม 17,181 ล้านบาท

กำไร (ขาดทุน) ส่วนของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่

  • ปี 2559 รวม 481 ล้านบาท
  • ปี 2560 รวม 3,451 ล้านบาท
  • ปี 2561 รวม 3,028 ล้านบาท

จะเห็นได้ว่ารายได้จากการขายและการบริหารนั้นเพิ่มขึ้น จาก 4,350 ล้านบาทเป็น 17,181 ล้านบาท คิดเป็น 294.9% ซึ่งมาจากการรับรู้รายได้ของโรงไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ที่เปิดใหม่ในปี 2560 จำนวน 4 โครงการ และในปี 2561 เพิ่มอีก 4 โครงการ และแต่ละโรงก็ขายไฟให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นได้ด้วย ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการผลิตมากขึ้น ทำให้เกิดรายได้เติบโตจากพื้นฐานแบบก้าวกระโดดกันเลย

อย่างไรก็ตามเราจะเห็นได้ว่ากำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและกิจการร่วมค้าลดลงในปี 2561 ถ้าเรามองจากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่า กำไรที่ลดลงนั้นไม่ได้เกิดจากเหตุผลในการดำเนินงานหลักของบริษัท แต่หลักๆ เกิดจากกำไรของอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า  โดยภาพรวมแล้วในปี 2561 บริษัทมีกำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่ 3,028 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.42 บาท อัตรากำไรสุทธิ 20.6% ROE 9.8% และ ROA 3.7%

หากเรามาดูในส่วนของงบแสดงฐานะทางการเงิน จะเห็นได้ว่าทรัพย์สินเติบโตขึ้นเป็น 123,669 ล้านบาท โดยมีหนี้สินเติบโตขึ้นอยู่ที่ 78,880 ล้านบาท ซึ่งมาจากการเบิกเงินกู้มาสร้างโรงงานไฟฟ้า ส่วนของผู้ถือหุ้นและส่วนของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่อยู่ที่ 44,788 ล้านบาท และ 36,537 ล้านบาทตามลำดับ ตรงนี้มาจากกำไรสะสมที่เพิ่มมากขึ้นจากการดำเนินงานธุรกิจครับ

ในมุมมองความเสี่ยงนั้น ในส่วนของ DE Ratio จะเห็นได้ว่าเพิ่มขึ้นเป็น 1.76 เท่า ก็ถือว่ามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แต่เป็นความเสี่ยงที่เกิดจากการขยายกิจการ หากไปได้ด้วยดีก็ย่อมสร้างกำไรให้กับบริษัทที่มากขึ้นอีกครับ 

อีกความเสี่ยงหนึ่งที่เราจะต้องติดตามก็คือเงินกู้ของบริษัทนั้นมีทั้งรูปแบบสกุลเงินบาทและเงินดอลลาร์ หากก็เปลี่ยนแปลงของค่าเงินก็ย่อมเกิดผลกระทบต่อมูลค่าหนี้เช่นกันครับ แต่มูลค่าหนี้ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงตามความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนบาทต่อดอลลาร์ดังกล่าวเป็นเพียงมูลค่าทางบัญชีเท่านั้นนะครับไม่เกี่ยวข้องกับกระแสเงินสดของบริษัทแต่อย่างใด

2) การพัฒนาและต่อยอดธุรกิจทั้งในไทยและในระดับสากล

พอหลายคนเห็นว่าผลการดำเนินงานของ GULF นั้นมีแนวโน้นที่ดีในอดีตต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน อาจจะเกิดคำถามในใจกันว่าแล้วอนาคตของ GULFยังคงจะสดใสต่อเนื่องหรือไม่  สำหรับผมแล้วคงจะต้องไปดูว่าโครงการในอนาคตของ GULF ที่จะต่อยอดในการสร้างรายได้และผลกำไรมีอะไรบ้าง

จะเห็นได้ว่าโครงการของ GULF ในปัจจุบันไม่ได้อยู่แค่ในประเทศไทยอย่างเดียว แต่กำลังขยายกิจการไปยังต่างประเทศในระดับสากล

สำหรับโครงการที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนานะครับ จะเห็นได้ว่าในประเทศไทยนั้นจะมีโครงการประเภท SPP และ IPP ตั้งอยู่ในจังหวัดที่ ชลบุรี ระยอง สระบุรี และนครราชสีมา ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจของประเทศ และมีโครงการประเภทพลังงานหมุนเวียนในจังหวัดสงขลาและอีก 4 แห่งในประเทศเวียดนาม รวมถึงโครงการในประเทศโอมานด้วยครับ

แผนขยายงานนี้ก็เป็นอีกหนึ่ง Highlight ของ GULF ในปี 2561 ที่จะทำให้แผนการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นรวม 785 เมกะวัตต์ ซึ่งการลงทุนในต่างประเทศนั้น GULF ได้ตั้งบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัดขึ้นมารองรับการขยายกิจการและการลงทุนต่างประเทศเมื่อเดือนมีนาคม 2561

ตอนนี้ก็มีความคืบหน้าในการลงทุนต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ มีการลงนามสัญญาซื้อขายหุ้นและสัญญาผู้ถือหุ้นจำนวน 49% กับ TTC Group เพื่อเข้าลงทุนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนามเมื่อเดือนสิงหาคม 2561 อย่างที่ทุกคนทราบอยู่นะครับว่าหากทำธุรกิจในประเทศไทยเพียงทีเดียวนั้นมีข้อจำกัดในการขยายกิจการ เวียดนามจึงเป็นประเทศแรกที่ GULF เข้าไปลงทุนเพราะด้วยพื้นฐานของประเทศนั้นมีศักยภาพในการเติบโตและมีความต้องการในการใช้ไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น

หากใครได้เคยฟัง Opportunity Day ทางผู้บริหารของ GULF มองว่าเวียดนามและไทยมีกำลังการผลิตติดตั้งใกล้เคียงกัน ในขณะที่ประชากรในประเทศไทยมีประมาณ 70 ล้านคน แต่เวียดนามมีมากถึงประมาณ 100 ล้านคน โอกาสของการเติบโตจึงมีสูงมาก

และมีโครงการในประเทศโอมาน โดยการเข้าซื้อและรับโอนหุ้นจาก Oman Oil 45% ในโครงการผลิตไฟฟ้าและน้ำจืด การลงทุนที่โอมานนั้นก็น่าสนใจเพราะลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ Duqm ที่คล้ายๆ กับมาบตาพุดในบ้านเรา ซึ่งหากในอนาคตมีโรงงานเข้ามาตั้งมากขึ้นก็จะสร้างโอกาสการเติบโตของโครงการนี้และต่อยอดในอนาคตได้มากขึ้นเช่นกัน

ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จของบริษัทที่สามารถสร้างชื่อเสียงและผลงานให้กลายเป็นมาตรฐานสากลได้ จึงไม่ได้จำกัดในการทำธุรกิจในประเทศไทยเท่านั้น จะว่าไปก็ถือว่ามีแนวโน้มที่ดีที่เดียวเมื่อประกอบการพื้นฐานการเติบโตทางด้านการเงินของบริษัท เราในฐานะนักลงทุนก็ลองวิเคราะห์แผนต่างๆรวมถึงความเสี่ยงดูก่อนการลงทุนได้นะครับ

3) การพัฒนาที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสังคม

ผมว่านักลงทุนยุคใหม่อย่างพวกเราคงจะไม่ได้ลงทุนเพื่อสร้างผลกำไรและความมั่งคั่งจากมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น ส่วนตัวแล้วเชื่อว่าทุกคนคงมองหาบริษัทที่มีธรรมภิบาลและรับผิดชอบต่อสังคมรวมถึงสิ่งแวดล้อมด้วย ทำให้เราในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้นลงทุนแล้วสบายใจ ซึ่งหลักการหนึ่งที่ GULF ได้ให้ใช้ในการบริหารให้องค์กรได้ผลกำไรควบคู่ไปกับด้านอื่นๆก็คือการใช้แนวคิด Triple Bottom Line ซึ่งได้แก่

  1. ผลการดำเนินงานของบริษัทที่ดี (Profit)
  2. รักษาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนของธรรมชาติ (Planet)
  3. ธุรกิจเป็นมิตรต่อสังคมและชุมชน สร้างงานสร้างโอกาส (People)

ซึ่งถ้าเราพูดด้วยคำจำกัดความง่ายๆ ก็ตรงกับนโยบายของรัฐบาลในเรื่อง “มั่นคง - มั่งคั่ง - ยั่งยืน” นะครับ

ด้านสิ่งแวดล้อม

GULF ให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจที่ต้องทำให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด ซึ่งมีการกำหนดเป็นกลยุทธ์ขององค์กรในเรื่องของการใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพที่สุด มีความโปร่งใส และกำหนดแผนการต่างๆให้ใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด โดยมุ่งเน้นความสำคัญในเรื่อง

- การปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้น้อยที่สุด โดยใช้แผนงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร เพื่อให้สร้างผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมที่น้อยที่สุด

- การใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่กระทบต่อชุมชนใกล้เคียง มีกระบวนการบำบัดน้ำที่มีคุณภาพให้ได้มาตรฐานต่อสิ่งแวดล้อม

- การลดของเสียต่างๆ ยกเลิกการฝังกลบ ใช้ระบบการกรองตระกอนดินเพื่อนำไปสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ รวมถึงการใช้วัสดุทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

- การสำรวจความหลากหลายทางชีวิตภาพและคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก่อนการเข้าไปดำเนินงานธุรกิจ

นอกจากนี้แล้วทางบริษัทยังมีโครงการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมกับชุมชนในท้องถิ่น เช่น แปลงนาสาธิตและศูนย์การเรียนรู้ทฤษฎีใหม่หนองแซง โครงการสืบสายลมสายน้ำและโครงการอบรมสามเณรเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อชุมชนและนำพาไปสู่ความยั่งยืน

การให้ความสำคัญในเรื่องสิ่งแวดล้อมถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเลยนะครับ เพราะนอกจากการลดมลพิษที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้วยังทำให้ประชาชนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติ แถมยังได้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ในเรื่องธรรมชาติและความรู้ในเรื่องเกษตรกรรมกับชุมชนร่วมกันอีกด้วย 

ด้านสังคม

นโยบายของบริษัทนั้นให้ความสำคัญทั้งบุคลากรของบริษัทและสังคมชุมชนท้องถิ่น จึงเกิดโครงการ ครอบครัว - ชุมชน - สังคม ดังนี้ครับ

ครอบครัวกัลฟ์ สำหรับการดูแลพนักงานของบริษัทในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ค่าตอบแทนที่แข่งขันได้ ความโปร่งใสในการประเมินผลการทำงาน สิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยต่างๆในการทำงาน ซึ่งบริษัทไม่มีอุบัติเหตุเลยใน 5 ปีที่ผ่านมาจนได้รับรางวัลในผลงานนี้

ชุมชนกัลฟ์ บริษัทได้ตั้งหน่วยงานที่ดูแลความสัมพันธ์กับชุมชนและสนับสนุนชุมชนในด้านต่างๆ พร้อมตั้งคณะกรรมการด้านสิ่งแวดล้อมที่ประกอบด้วย ผู้แทนจากบริษัท ผู้นำชุมชน และเจ้าหน้าที่รัฐบาลในการทำแผนงานต่างๆ ร่วมกัน ด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน

สังคมกัลฟ์ บริษัทมีแนวทางภายใต้สโลแกนว่า “ผลิตไฟเพื่อชาติ เพิ่มขีดความสามารถให้คน” ซึ่งได้ช่วยเหลือสังคมในได้ต่างๆได้แก่

  • Health สุขภาพ - พัฒนาสถานบริการสุขภาพ อุปกรณ์ทางการแพทย์และกิจกรรมต่างๆ
  • Enterprise วิสหกิจ - พัฒนาโครงการสร้างรายได้และอาชีพต่างๆ
  • Learning การเรียนรู้ - สนับสนุนทุนการศึกษา อุปกรณ์การเรียนและพัฒนาสถานศึกษา
  • Planet โลก - การสร้างกิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ปลูกต้นไม้ ทำความสะอาดชายหาด
  • Sponsorship การสนับสนุน - สนับสนุนโครงการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของคนไทย

พอมีโครงการด้านสังคมแบบนี้แล้ว พนักงานก็จะมีความสุขในการทำงานและสร้างประสิทธิภาพให้กับบริษัทมากขึ้น ชุมชนที่อยู่รอบข้างมีสิทธิ์มีเสียงในการตัดสินใจร่วมกันภายใต้ประโยชน์ของทุกฝ่าย ทำให้เกิดความรักระหว่างกัน มีอะไรก็สามารถพูดคุยกันได้ตลอด และสุดท้าย GULF ก็นำส่วนหนึ่งของกำไรที่ได้ไปพัฒนาสังคมไทยให้ดีขึ้น เจริญขึ้น ด้วยการมอบโอกาสต่างๆให้กับคนและสิ่งแวดล้อมด้วย

บทความนี้เป็น Advertorial