ผมได้ข่าวมานานแล้วว่าใน บลจ.กรุงศรี เนี่ยมีแม่บ้านท่านหนึ่งที่เป็นตัวอย่างของนักลงทุนมือใหม่ จนกระทั่งผมได้มีโอกาสได้เข้าไปที่ บลจ. กรุงศรีฯ แม่บ้านท่านนี้เดินมาเสริฟน้ำในระหว่างผมกำลังคุยงานอยู่ ทางคุณวี กอร์นเอก ที่ปรึกษาการลงทุนของ บลจ.กรุงศรี จึงแนะนำให้ผมรู้จักว่าแม่บ้านท่านนี้เป็นแม่บ้าน DCA  หากใครได้เข้าร่วมหรือดูคลิปวีดีโองานสัมมนาร้อยล้านของ บลจ.กรุงศรี ก็อาจจะเคยได้เห็นแม่บ้านท่านนี้ ผมจึงไม่รีรอขอหยุดการพูดคุยงานทันทีและขอเวลาคุยกับแม่บ้านท่านนี้ซักนิดนึงว่าแกมีที่มาที่ไปของการลงทุนได้อย่างไร

ผมเริ่มตั้งคำถามว่าอะไรที่ทำให้เขามาลงทุนในกองทุนรวม?

คำตอบนั้นน่าสนใจมาก เดิมทีแล้วเขาไม่คิดหรอกว่าการลงทุนจะเป็นเรื่องที่เขาทำได้ มันเป็นเรื่องของคนรวยที่มีเงินก้อนที่จะนำไปลงทุนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย สิ่งที่เขาทำได้ก็คือการนำเงินออมของตัวเองไปฝากไว้ในธนาคาร ฝากได้บ้างไม่ได้บ้างแล้วแต่ภาระของแต่ละเดือน ถ้าจะเก็บยาวๆแล้วก็รู้แค่ว่าจะต้องนำไปฝากเงินบัญชีประจำไว้ แล้วนั่นก็จะเป็นเงินที่เอาไว้ใช้ในยามเกษียณ ซึ่งคิดว่าการออมในบัญชีประจำมันน่าจะเพียงพอเพราะอนาคตคิดว่าจะกลับบ้านไปอยู่ที่ต่างจังหวัด

การเข้ามาสู่วงการนักลงทุนในกองทุนรวมนั้นเกิดจากการที่ทำงานอยู่ใน บลจ. กรุงศรี และได้มีโอกาสฟังสัมมนาอยู่ตลอดเวลา แกเล่าให้ฟังอย่างน่ารักเลยนะครับว่า หลายๆครั้งตอนที่จบงานสัมมนาแกจะต้องเก็บเอกสาร ไม่ว่าจะเป็นวิธีการจัดสรรเงินมาลงทุนในแต่ละเดือนเพื่อพิชิตเงินล้าน แต่แปลกใจมากทำไมหลายๆคนมาสัมมนาแล้ว สร้างแผนขึ้นมาแล้วกลับไม่ได้เอากลับบ้านไป มันก็เลยทำให้แกได้แนวทางในการลงทุนจากการฟังสัมมนาไปเลย ก็โชคดีจริงๆที่แม่บ้านท่านนี้ได้คุยกับ พี่วี ที่ปรึกษาการลงทุน จนได้แนวทางการเปลี่ยนเงินออมมาเป็นเงินลงทุนรายเดือน และได้ใช้วิธีการลงทุนแบบ Dollar Cost Average (DCA) มาเป็นแผนการลงทุนรายเดือน เดือนละ 2,000 บาท

ผมถามเรื่องการบริหารเงินของเขานะครับว่า ทำอย่างไรบ้าง เงินพอใช้ไหมในแต่ละเดือนและมีวิธีการใดที่ทำให้ออมอย่างได้ผล?

แม่บ้าน DCA ท่านนี้บอกว่าแกพยายามจะเก็บเงินให้ได้อย่างน้อยเดือนละ 2,000 บาท โดยหักออกตั้งแต่วันแรกที่เงินเดือนออก แล้วก็นำไปลงทุนเพราะถ้าแกไม่ได้ทำแบบนี้แกก็จะนำไปใช้จ่ายอยู่ดี พูดง่ายๆก็คือต้องเลือกว่าจะเอาเงินหายไปทางไหน ลงทุนหรือ จ่ายเป็นค่าใช้จ่าย แน่นอนว่าถ้าเป็นเรื่องของค่าใช้จ่าย ก็จะได้สิ่งของกลับคืนมา บางทีจ่ายมากๆเจอดอกเบี้ยจากบัตรเกิดเงินสดอีกมหาศาลจนรู้สึกน่าเสียดายเงิน แต่ถ้านำไปลงทุนในระยะยาวก็ทำให้แกรวยขึ้นได้ แกจึงตัดสินใจนำไปลงทุนในกองทุนรวมหุ้นแทน

วิธีการนำเงินไปลงทุนในกองทุนรวมหุ้นก็ง่ายๆด้วยเงิน 2,000 บาทนี่ล่ะ ลงไปเลยรายเดือน ถ้าเดือนไหนมีเงินเก็บมากขึ้น มีเงินเพิ่มก็จะเอามาลงในกองทุนเพิ่ม ส่วนเงินปันผลที่ได้ก็ใช้วิธีการสะสมรวมๆกันแล้วเมื่อครบ 2,000 บาท ก็มาลงต่อ ส่วนตัวผมว่าวิธีคิดและปฏิบัติของแกนั้นทำให้กลายเป็นนักออมมือทองเลยนะครับ

ผมลองจินตนการเล่นๆนะ ถ้าคุณเก็บเดือนละ 2,000 บาท เป็นเวลา 2 ปี คุณจะมีเงินเก็บได้ 48,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยเงินฝากอีกเล็กน้อย แต่ในกรณีนี้แกทั้งลงทุนรายเดือนไปด้วย หาเงินมาเติมด้วยและนำปันผลกลับมาต่อยอดการลงทุน  ซึ่งถ้าใครได้ฟังจากเทปสัมภาษณ์ของคุณประภาส ในงานสัมมนาร้อยล้านแล้ว การลงทุน 2 ปีนี้นั้นทำให้พี่เขามีเงินเก็บได้ถึง 72,000 บาทได้ แค่นี้ก็เกือบ 1 แสนบาทแล้วใช่ไหมครับ สิ่งที่ผมเห็นและประสบการณ์ในการลงทุนส่วนตัวนั้นทำให้ผมกล้าพูดเลยว่า ถ้าแม่บ้านท่านนี้ยังทำตามวินัยการลงทุนไปเรื่อยๆตามเส้นทางของแก ยังไงแกจะต้องเดินไปถึงเป้าหมาย 1 ล้านบาทได้อย่างแน่นอน

นี่ละครับคืออนุภาพของการเติบโตในการลงทุนและกองทุนรวมก็เป็นโอกาสของทุกคนที่มีความรู้ไม่มากในการลงทุนให้สามารถเข้ามาสร้างความมั่งคั่งได้เช่นกัน เดี๋ยวนี้การลงทุนมันง่ายขึ้นสำหรับทุกคนแล้วเพียงแค่เราตัดสินใจเท่านั้นเองว่าเราจะลงทุนหรือเปล่า

ปัจจุบันแกมีลูกอยู่ 3 คนนะครับ ผมได้ถามถึงการสอนลูกให้ออมด้วย แกก็สอนตลอดเลยนะให้ออมเงินให้เป็นแล้วเมื่อลูกออมเงินได้รับหนึ่งแกก็เอาไปลงทุนในกองทุนรวมที่ไม่มีเงินปันผล เพราะแกอยากให้ลูกเก็บเงินเอาไว้ยาวๆ ปันผลไม่ต้องมี ให้มันเติบโตในกองทุนนั่นล่ะและเมื่อน้องเขาโตขึ้นก็จะมีเงินเก็บและความเป็นอยู่ที่ดีด้วย นอกจากนี้แกยังได้นำความสำเร็จของแกถ่ายทอดวิธีการให้กับแม่บ้านท่านๆอื่นๆ แมสเซ็นเจอร์ พนักงานขับรถลงทุนออมหน่วยลงทุนรายเดือน คือสรุปว่า ที่บลจ.กรุงศรีเนี่ยพนักงานเป็นนักลงทุนแบบ DCA กันหมดเลย

ต่อมาผมถามถึงการศึกษาในเรื่องของกองทุน ความเสี่ยง นั้นทำอย่างไร แล้วทำไมถึงกล้ารับความเสี่ยง?

เชื่อไหมครับว่าความเสี่ยงในการลงทุนในกองทุนหุ้นนั้นเป็นเรื่องเบาๆสำหรับแกเพราะเมื่อก่อนก็เคยเล่นหวย แต่เท่าที่ผมได้คุยมากนะแกเองก็ไม่ได้กะเล่นหวยให้รวยหรอกแค่เหมือนลุ้นสนุกๆกับเพื่อนๆเท่านั้นละครับ  แกบอกว่าการเล่นหวยนั้นมันจบแล้วรู้ผลกันไปเลยว่าได้หรือเสีย ที่ผ่านมาเสียเป็นหลัก โอกาสถูกน้อย เคยได้มาครั้งเดียวแค่ 1,000 บาท ความเสี่ยงของการเล่นหวยมันสูงกว่าการซื้อกองทุนรวมหุ้นเยอะ เลยไม่สนใจเรื่องราคาขึ้นลงเพราะสิ่งที่แกได้เห็นมาก็คือในระยะยาวมันเติบโตได้มาก บางทีเห็นลูกค้าขาดทุนแค่ 100 บาท 200 บาท ก็กังวลกันมาก แต่สำหรับแกนั้นค่อนข้างเฉยๆและก็ไม่ค่อยได้เช็คด้วยล่ะครับว่าตอนนี้ราคาหน่วยลงทุนไปถึงไหนแล้ว

แกบอกว่าแกไม่ได้มีความรู้อะไรมากแต่เมื่อแกได้ฟังสัมมนาบ่อยๆจนรู้จักผู้จัดการกองทุน นักบริหารเงิน นักวางแผนการเงินคุยกัน ก็เลยเชื่อว่าการลงทุนในกองทุนรวมที่บริษัทตัวเองทำงานอยู่นั้นน่าจะทำให้เงินนั้นงอกเงย