BGC หรือบริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้ว ซึ่งมีประสบการณ์มาแล้วกว่า 4 ทศวรรษ
BGC จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2561 ด้วยจุดประสงค์เพื่อนำเงินไปต่อยอดธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตของกำไรในอนาคต ซึ่งก็ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนเป็นอย่างดี กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดกว่า 7 พันล้านบาท อีกทั้งยังเป็นบริษัทที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากกำไรสุทธิ 237 ล้านบาทในปี 2560 เพิ่มขึ้นเป็น 516 ล้านบาทในปี 2563 ปัจจุบัน BGC มีกำลังการผลิตรวมสูงสุดในประเทศไทยกว่า 3,495 ตันต่อวัน หรือมากกว่า 4,000 ล้านขวดต่อปี นอกจากนี้ BGC ยังได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรที่ A- ด้วยแนวโน้มคงที่หรือ Stable สะท้อนถึงการดำเนินงานที่เติบโตและมั่นคง
แต่สิ่งที่โดดเด่นกว่าผลกำไรที่เพิ่มขึ้นคือ แผนการเติบโตแบบเท่าตัวที่ BGC วางไว้ในอนาคตเราลองไปดูงบการเงินของ BGC กันครับ
งบการเงิน BGC
ปี 2561
รายได้ 10,400 ล้านบาท
ค่าใช้จ่าย 9,904 ล้านบาท
กำไรสุทธิ 496 ล้านบาท
ปี 2562
รายได้ 11,252 ล้านบาท
ค่าใช้จ่าย 10,740 ล้านบาท
กำไรสุทธิ 512 ล้านบาท
ปี 2563
รายได้ 10,968 ล้านบาท
ค่าใช้จ่าย 10,452 ล้านบาท
กำไรสุทธิ 516 ล้านบาท
โดยจากรายได้รวมทั้งหมดของบริษัทฯ สัดส่วนรายได้หลักประมาณ 95% มาจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้ว แบ่งเป็นขวดแก้วที่ขายให้กับลูกค้าในอุตสาหกรรมเบียร์ เครื่องดื่มไม่ผสมแอลกอฮอล์ (Soft drink) อาหาร ยาฆ่าแมลงและยา และขวดประเภทอื่่น
ปัจจุบันมีโรงงานผลิตขวดแก้วครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัด อีกทั้งมีเครือข่ายส่งออกไปทั่วโลกด้วย ทั้ง CLMV สหรัฐอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย นับว่า BGC เป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จไม่น้อยหากมองในแง่ของความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม หากดูจากงบการเงินย้อนหลังของบริษัทฯ จะพบว่ารายได้ของ BGC ไม่ค่อยหวือหวาเท่าไหร่นัก เพราะบริษัทฯ ถือเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด แต่ทุกอุตสาหกรรมย่อมมีคู่แข่งรายอื่นที่เข้ามาช่วงชิงตลาดเสมอ
BGC จึงเริ่มวางแผนธุรกิจใหม่อีกครั้ง แม้ว่าการเป็นเบอร์ 1 อาจเป็นเรื่องยาก แต่การรักษาตำแหน่งเบอร์ 1 เอาไว้ เป็นเรื่องที่ยากกว่ามาก
สำหรับการเพิ่มการเติบโตของบริษัทฯ โดยทั่วไปแล้วบริษัทจะมีหนทางในการเติบโตอยู่สองอย่าง คือ ถ้าไม่โตด้วยธุรกิจเดิม ก็โตด้วยธุรกิจใหม่
สำหรับการโตด้วยธุรกิจเดิม แน่นอนว่า BGC พยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในธุรกิจนี้ รวมถึงการควบคุมต้นทุนอย่างดีจนสามารถมีกำไรเพิ่มขึ้นได้แม้รายได้จะใกล้เคียงเดิม แต่นั่นอาจจะยังไม่เพียงพอในโลกที่มีคู่แข่งรายใหม่ก้าวเข้ามาเรื่อย ๆ
ดังนั้น BGC จึงใช้ทางเลือกที่สองในการทำให้บริษัทฯ เติบโตแบบเท่าตัว ควบคู่ไปกับการเพิ่มรายได้ นั่นคือการเติบโตด้วยธุรกิจใหม่ เพื่อก้าวสู่การเป็น Total Packaging Solutions
ธุรกิจใหม่ในที่นี้ ไม่ใช่ว่า BGC จะเปลี่ยนจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้วไปเป็นอย่างอื่น แต่เป็นการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มความครบวงจรให้กับบริษัทฯ ในที่นี้คือ ธุรกิจฟิล์มพลาสติก ฝาพลาสติก ขวดพลาสติก หลอดพรีฟอร์ม และธุรกิจกล่องกระดาษลูกฟูก
เพราะสินค้าเหล่านี้ เป็นสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจบรรจุภัณฑ์แก้ว BGC จึงสามารถขายสินค้าเพิ่มเติมได้นอกเหนือจากเพียงแค่ขวดแก้ว
ลองนึกภาพตามว่า จากเดิม BGC ทำแค่เพียงขวดแก้วขายอย่างเดียว แต่ในอนาคต บริษัทฯ สามารถเสนอบริการขายฟิล์มพลาสติก ฝาพลาสติก ขวดพลาสติก หลอดพรีฟอร์ม หรือกล่องกระดาษลูกฟูกไว้ใส่ขวดควบคู่ไปด้วยกัน แม้การขายขวดแก้วจะยังมีปริมาณเท่าเดิม แต่สินค้าเพิ่มเติมเหล่านี้ สามารถเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทฯ ไม่น้อย
นอกจากนั้น ต้องไม่ลืมว่ารายได้ที่ลดลงไปประมาณ 2.5% ช่วง COVID-19 ในปี 2563 นั้น อาจเป็นเพียงการหดหายของรายได้แบบชั่วคราว เพราะสุดท้าย การบริโภคสินค้าที่ใช้บรรจุภัณฑ์แก้ว ก็ต้องกลับสู่ภาวะปกติ แม้รายได้ระหว่างปี 2563 จะลดลงไปบ้าง แต่ BGC ก็ยังมีกำไรเท่าเดิม หากสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลายลง ทั้งการรักษาต้นทุนที่ดีของบริษัทฯ และธุรกิจใหม่ ๆ ที่ BGC วางแผนว่าจะขยายออกไปในอนาคต เป็นไปได้สูงทีเดียวว่า BGC จะเติบโตได้มากกว่าเดิมจากจุดที่เป็นอยู่
จากข้อมูลล่าสุด ทางบริษัทฯ เปิดเผยว่าจะใช้เงินกว่า 1,650 ล้านบาทไปกับการเข้าซื้อธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับบรรจุภัณฑ์แก้ว และ BGC คาดการณ์ว่าในปี 2568 รายได้ของบริษัทฯ จะเติบโตขึ้นไปถึง 25,000 ล้านบาท หรือกว่าเท่าตัวจากรายได้ปัจจุบันที่อยู่ประมาณ 11,000 ล้านบาท อาจจะเป็นเพียงการคาดการณ์ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ และแผนการขยายธุรกิจของบริษัทฯ จะเริ่มดำเนินการตามแผนในไตรมาส 2 ปี 2564 นี้
เป็นความจริงที่ว่า ธุรกิจเมื่อใหญ่ถึงจุดหนึ่งแล้ว การที่จะเติบโตต่อไปในอุตสาหกรรมเดิมอาจไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนเก่า ยิ่งถ้าเป็นในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากทางเศรษฐกิจ การรักษาอัตราเติบโตเอาไว้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งบริษัทที่เป็นอันดับ 1 อยู่แล้ว การเติบโตต่อไปพร้อมกับการรักษาตำแหน่งในอุตสาหกรรมเอาไว้ ยิ่งเป็นเรื่องยากมากขึ้น
แต่เพราะความเป็นที่หนึ่งนี้เอง ทำให้หลายบริษัทไม่ยอมแพ้ และอะไรก็อาจเกิดขึ้นได้ เหมือนที่ต้องจับตากับอนาคตของหุ้น BGC
ลงทุนศาสตร์

บทความนี้เป็น Advertorial