ช่วงหลังมักจะมีการพูดคุยถึงว่าการลงทุนแบบไหน เหมาะสมกับใคร และการลงทุนด้วยการ ออมหุ้น แบบ DCA นั้น ใครทำได้บ้าง จริงๆแล้วการลงทุนในลักษณะนี้ผมว่ามันเป็นวิธีที่ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มนะครับ มันเป็นวิธีการง่ายๆและ Basic มาก เพียงแค่เราวางแผนว่าเราจะเอาเงินออมมาลงทุนอย่างไรเดือนละครั้ง ในจำนวนที่เท่าๆกันและมีการเพิ่มจำนวนเงินลงทุนมากขึ้น

1. คนที่สามารถวางแผนทางการเงินได้

  • ไม่จำเป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีงานประจำรายได้ประจำ
  • ฟรีแลนซ์ก็ทำได้ไม่ยาก

มักจะมีคนพูดอยู่เสมอว่า "การออมหุ้นเหมาะสมกับมนุษย์เงินเดือนและคนที่มีรายได้ประจำ" อันนี้เป็นเรื่องที่ไม่จริงครับ เพราะคนมีรายได้ประจำหลายๆคนก็ลงทุนแบบนี้ไม่ได้ และเมื่อเราถามเขาว่าทำไมมันก็จะเป็นคำตอบที่เหมือนกับคนอื่นๆนั่นล่ะคือ "ไม่มีเงิน ช่วงนี้ผ่อนเยอะ ขอให้หนี้บัตรเครดิตก่อนนะ" ความสำคัญของการนำเงินมาลงทุนนั้นจริงๆแล้วมันไม่ใช่ว่าเราทำอาชีพอะไร รับเงินเดือนแบบไหน แต่มันคือการให้ความสำคัญของการวางแผนทางการเงินต่างหาก 

สำหรับมนุษย์เงินเดือนแล้วอันอาจจะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด คือ แบ่งเงินออมออกมาลงทุนในแต่ละเดือนให้เป็นวินัย เช่น เงินเดือน 30,000 บาท ลงทุนเดือนละ 10,000 บาท ก็นำเงินออกมาหลังเงินเดือนออกเพื่อลงทุนได้เลย

ในส่วนของฟรีแลนซ์ก็สามารถจัดการได้ด้วยการบริหารเงินก้อน หากเราได้รับเงินมาอย่างไม่ประจำ ก็สามารถแบ่งบางส่วนออกมาลงทุนรายเดือนด้วยการวางแผนล่วงหน้า เช่น ได้เงินก้อนมา 3 แสนบาท ก็สามารถแบ่งเป็นเงินออม 1 แสนบาทแล้วลงทุนเดือนละ 10,000 บาทได้ 10 เดือน หากมีเงินก้อนใหม่ก็อาจจะเพิ่มเติมลงไปตามการวางแผนของเราได้

2. คนที่ต้องไม่ต้องการดูราคาหุ้นรายวัน

  • ราคาที่ซื้อไม่ได้ถูกสุด แต่ไม่ได้แพงสุด เพราะเป็นราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก

หลายๆคนมีความเข้าใจว่า การซื้อหุ้นต้องติดตามหุ้นอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นอาจจะขาดทุนหรืออดขายทำกำไรได้ หลายๆคนอาจจะไม่ต้องการดูราคาหุ้นรายวันแต่ไม่รู้ว่าการลงทุนแบบไหนที่จะทำให้เขาสามารถลงทุนหุ้นได้ผลตอบแทนดีในระยะยาวนอกจากการนั่งจ้องหุ้นเพื่อดูราคาที่จะเข้าซื้อ การลงทุนแบบ DCA นั้นจะทำให้ผู้ซื้อหุ้นไม่ติดกับดักทางอารมณ์ของการลงทุนในยามที่หุ้นขึ้นและหุ้นลงอย่างรุนแรงและสามารถสร้างผลกำไรระยะยาวได้เป็นอย่างดี หากผู้ที่ลงทุนนั้นสามารถเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจได้อย่างถูกต้อง

ทั้งนี้การลงทุนลักษณะนี้แม้เราไม่จำเป็นต้องดูหุ้นรายวันก็จริง แต่สิ่งที่ควรจะทำการบ้านก็คือการเกาะติดความเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะสามารถทำให้เราประสบความสำเร็จในระยะยาวได้

3. คนที่ต้องการออมโดยไม่สนใจค่าธรรมเนียมซื้อขายหุ้น

  • ค่าคอมมิชชั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยหากอนาคตผลตอบแทนคุณมีมันมากเป็น 1,000%
  • คุณสามารถบริหารค่าคอมมิชชั่นได้จากการหาตัวเลือกทางการลงทุนอื่นๆ

การซื้อหุ้นแต่ละครั้ง นักลงทุนมีเป้าหมายในการลงทุนไม่เหมือนกัน บางคนระยะสั้น บางคนระยะยาว บางคนเก็งกำไร บางคนเป็น VI โดยเฉพาะนักลงทุนเก็งกำไรนั้น การได้ค่าธรรมเนียมถูกถือว่าเป็นแต้มต่อในการลงทุน เพราะเนื่องจากมีการซื้อมาขายไปเรื่อยๆ บางคนหลายรอบต่อวัน ต่อสัปดาห์ ค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นก็ย่อมทำให้กำไรลดลง แต่สำหรับนักออมนั้นจะลงทุนอย่างมีวินัย เช่น เพียงแค่ 1 ครั้งต่อเดือนเท่านั้น หรือใครอยากจะน้อยกว่านั้นก็เป็นรายไตรมาสกับรายปี ซึ่งค่าธรรมเนียมนั้นขึ้นอยู่กับการวางแผนของเราเพราะโบรกเกอร์แต่ละแห่งเก็บค่าธรรมเนียมไม่เท่ากัน บางแห่งเก็บตามจริง บางแห่งมีขั้นต่ำ

หากเราวางแผนการออมด้วยเงินจำนวนน้อยๆ อาจจะทำให้สัดส่วนของเงินลงทุนสูงเมื่อเทียบกับค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้น แต่เราสามารถแก้ปัญหาได้โดยใช้บริการ บล. ที่ติดค่าคอมมิชชั่นตามจริง หรือ ออมให้มากขึ้นจนทำให้เกิดความคุ้มค่าเพื่อนำไปลงทุนเมื่อเทียบกับสัดส่วนค่าธรรมเนียม แต่อย่างไรก็ตามหากเราจ่ายค่าธรรมเนียมแพงที่สุดที่ 50 บาท ใน 1 ปี ซื้อเดือนละครั้ง ก็จะมีค่าใช้จ่าย 600 บาทเท่านั้น (ทานข้าว 2 มื้อก็หมดแล้ว)

4. คนที่ต้องการเริ่มออมและเรียนรู้การลงทุนทีละน้อย

  •  ออมได้โดยใช้เงินไม่มาก
  • สามารถเรียนรู้การลงทุนไปในตัว

เมื่อพูดถึงการลงทุนในหุ้นแล้วอาจจะนึกถึงคนที่ต้องลงทุนแบบหอบเงินเป็นถุงเป็นถัง หลายๆคนไม่มีประสบการณ์ก็มักจะเริ่มคำถามว่า เล่นหุ้นต้องเริ่มเท่าไหร่? การซื้อขายหุ้นและลงทุนให้ได้เป็นกอบเป็นกำในทีเดียวนั้นจำเป็นต้องมีเงินจำนวนหนึ่งเพื่อที่จะทำให้เราสามารถสร้างกำไรได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ถ้าหากเป็นเรื่องของการออมด้วย DCA ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหุ้นหรือกองทุนก็ตามเราสามารถสะสมได้ตั้งแต่จำนวนเงินน้อย หลายๆกองทุนและการเปิดบัญชีออมหุ้นสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ 1,000 บาท แต่หากเราต้องการลงทุนมากขึ้นก็สามารถเพิ่มงบประมาณการลงทุนตามที่เราวางแผนทางการเงิน แน่นอนว่าพอเราใช้เงินน้อย หากเกิดการขาดทุนขึ้นมาย่อมไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของเราอย่างแน่นอน และเราสามารถเรียนรู้ได้ว่าในภาวะต่างๆของตลาดเป็นอย่างไร หุ้นเติมโตและลดการเติบโตได้อย่างไร เมื่อเราเข้าใจภาวะต่างๆแล้วก็สามารถปรับเปลี่ยนวิธีต่างๆเพื่อให้เกิดการพัฒนาการลงทุนของตัวเราเองอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้เช่นกัน

หากท่านมีเพื่อนที่มีลักษณะของผู้ที่พร้อมจะลงทุนแบบ DCA แล้ว อย่าลืมส่งต่อให้กับเพื่อนคนที่ยังไม่เคยออมใดๆนะครับ ไม่ว่าจะออมเงิน ออมในทรัพย์สินอย่างหุ้นก็ตาม จะได้มาช่วยกันสร้างความมั่งคั่งกัน