คำถามที่ผมเจอบ่อย ๆ สำหรับผู้ที่จะเริ่มต้นลงทุน

“เริ่มต้นลงทุนอย่างไรดี” 

“ลงทุนไม่เป็น”

“ลงทุนเป็นเรื่องของคนรวย” 

“ลงทุนแล้วกลัวขาดทุน” 

สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นความกลัว ความไม่มั่นใจ ต่อสิ่งที่เรียกว่า “การลงทุน” นั่นเองครับ ทั้งนี้ก็เพราะว่าเมื่อพูดถึงการลงทุนแล้ว ทุกคนจะรู้เหมือนกันหมดว่าจะมี “ความเสี่ยง” ที่ควบคู่กันมาตลอดนั่นเอง

ซึ่งผมคงไม่ได้มาปลอบใจ และบอกว่าการลงทุนไม่เสี่ยง แต่ต้องบอกความจริงกับทุกท่านว่า เรื่องความเสี่ยงนั้นเป็นเรื่องจริงครับ แถมยังสามารถเกิดขึ้นได้ทุกช่วงของการลงทุนครับ ไม่ว่าจะลงทุนอะไรไปก็แล้วแต่ มันจะต้องมีความเสี่ยงเข้ามาด้วยเสมออย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนกับเรื่องใดก็ตามครับ

ความเสี่ยงจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถในเรื่องนั้นๆ และความพร้อมของเราเอง ถ้าบอกว่า “ยังไม่ค่อยรู้ ไม่ค่อยเข้าใจ ไม่มีเวลาศึกษา” เราก็ต้องหา “ผู้ช่วย” เปรียบเหมือนกับตัวเอกในหนังที่ขนาดเป็นซุปเปอร์ฮีโร่แล้ว ก็ยังต้องมีทีม หรือคู่หู ที่คอยระวังหลัง หรือช่วยสร้างอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ มาเสริมความสามารถ

ส่วนความพร้อมในแง่ของการลงทุน หมายถึงว่า เราพร้อมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน หลายครั้งเราจะได้ยินว่าถ้าอายุยังน้อยจะเสี่ยงสูงได้ แต่ถ้าอายุเยอะไม่ควรเสี่ยงเยอะ มันอาจจะไม่ได้ตายตัวแบบนั้นเสมอไป แต่ปัจจัยเรื่องอายุมีผลต่อเวลาในการลงทุน ถ้าอายุน้อยมีเวลาทำงานสะสมเงินอีกนาน และลงทุนได้ยาว ก็จะทำให้ลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงสูงได้

เพราะระยะเวลาที่นานจะทำให้ผ่านช่วงที่ราคาสินทรัพย์ขึ้นลงอย่างผันผวนในระยะสั้นๆ ไปได้ ยิ่งลงทุนได้นาน โอกาสขาดทุนก็จะยิ่งน้อยลง แต่ถ้าใคร Young at heart คืออายุไม่มีผล ลงทุนยาวได้ ไม่มีภาระทางการเงินไม่ว่าจะผ่อนบ้าน ผ่อนรถอยู่ ที่อาจทำให้ต้องใช้เงินฉุกเฉิน ก็จะพร้อมรับความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้มาก แบบนี้ลงทุนแบบเสี่ยงสูงเพื่อผลตอบแทนงามๆ ได้เช่นกัน

แต่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเสี่ยงขาดทุนเยอะแน่ๆ วิธีที่จะทำให้เริ่มต้นลงทุนได้อย่างมั่นใจ นอกจากจะมี “ผู้ช่วย” แล้ว สิ่งที่เราเลือกลงทุนควรจะมีการจัดการความเสี่ยงที่ดีด้วย การลงทุนในกองทุนรวมทำให้เรามีผู้ช่วยคือผู้จัดการกองทุน ที่มีความรู้และประสบการณ์ ในเรื่องการจัดสรรเงินลงทุนให้เหมาะกับภาวะตลาดต่างๆ เป็นข้อดีอย่างนึงแล้ว

อีกอย่างที่สำคัญมากคือนโยบายการลงทุนของกองทุนนั้นมีการจัดการเรื่องความเสี่ยงยังไงบ้าง ให้เราแน่ใจว่าจะเหมาะกับเรา และไม่เสี่ยงสูงเกินไป เช่น กระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทไหนบ้าง สัดส่วนลงทุนเป็นยังไง ลงทุนไปแล้วเวลาผ่านไปผู้จัดการกองทุนมีการปรับสัดส่วนลดความผันผวนหรือไม่ ผมถึงย้ำอยู่เสมอว่า เราต้องดูนโยบายกองทุนก่อนที่จะเลือกลงทุนนะครับ

เพราะว่าสินทรัพย์ลงทุนที่มีอยู่ในตลาดการลงทุนนั้นหลากหลายมากมายเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนตราสารหนี้ กองทุนหุ้น กองทุนอสังหาฯ และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งแต่ละสินทรัพย์ก็มีเสน่ห์ที่แตกต่างกันครับ

ดังนั้น วันนี้ผมจะพาทุกท่านไปรู้จักกับกองทุนตัวอย่างจาก บลจ. กรุงศรี ฯ ที่น่าจะเป็นผู้ช่วยที่ดีให้กับนักลงทุนกันครับ กองทุนที่ผมกำลังจะพูดถึงนั้น ไม่ได้มีแค่กองทุนเดียวนะครับ แต่ว่ามาพร้อม ๆ กันถึง 3 กองทุนครับ ในกลุ่มที่เรียกกันว่า “3ดี All in Fund ลงทุนง่าย ครบ จบในกองทุนเดียว” ได้แก่

“กองทุนกรุงศรีชีวิตดี๊ดี (KFHAPPY) 

กรุงศรีชีวิตดีเว่อร์ (KFGOOD) 

และกรุงศรีชีวิตดีเริ่ด (KFSUPER)”

โดยทั้ง 3 กองทุนนี้จะมาเป็นตัวอย่างผู้ช่วยในการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว ที่พร้อมสู้กับความเสี่ยง และความผันผวนที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางของเรานั่นเองครับ

ซึ่งทั้ง 3 กองทุนมีนโยบายคล้ายๆ กัน ที่เรียกว่า All in Fund นั่นก็คือ การลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เช่น ตราสารหนี้ หุ้น กองทุนอสังหาฯ และ กองทุนโครงสร้างพื้นฐานครับ ทั้งนี้ก็เพื่อการกระจายความเสี่ยงไปหลากหลายสินทรัพย์ ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนได้อย่างมาก โดยมีสินทรัพย์เสี่ยงต่ำอย่างตราสารหนี้ ที่คอยสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงเป็นพื้นฐานให้กับกองทุน

ส่วนการลงทุนใน REITs และกองทุนอสังหาฯ ก็จะเสริมในเรื่องกระแสเงินสดเข้ามาจากค่าเช่าสม่ำเสมอนั่นเองครับ และส่วนของหุ้นเองก็จะทำหน้าที่เป็นหัวหอกในการสร้างผลตอบแทนที่สูงให้กับเราได้ครับ เอาเป็นว่า เปรียบเสมือนว่ามีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่หลากหลาย ไว้ทั้ง ”รับ”กับความผันผวนทุกรูปแบบ และ”รุก” เพื่อสร้างผลตอบแทนเมื่อมีโอกาสเลยครับ

คราวนี้เรามาดูว่า ทั้ง 3 กองทุนนั้นมีความแตกต่างกันอย่างไรครับ ความแตกต่างที่เป็นลักษณะเด่นของทั้ง 3 กองทุนนี้ ก็คือ สัดส่วนของหุ้น หรือสินทรัพย์เสี่ยงนั่นเองครับ โดยที่นโยบายการลงทุนของทั้ง 3 กองทุนมีดังนี้ครับ

KFHAPPY จะมีสัดส่วนของหุ้น REITS กองทุนอสังหาฯ และ INFRAs สูงสุดไม่เกิน 25%

KFGOOD จะมีสัดส่วนของหุ้น REITS กองทุนอสังหาฯ และ INFRAs สูงสุดไม่เกิน 50%

KFSUPER จะมีสัดส่วนของหุ้น REITS กองทุนอสังหาฯ และ INFRAs สูงสุดไม่เกิน 75%

นั่นหมายความว่า ถ้าหากรับความเสี่ยงได้ไม่สูงมากนัก เช่น จะเก็บเงินแต่งงานในระยะสั้นๆ 2-3 ปี ก็ให้นักลงทุนเลือก KFHAPPY จะได้ลงทุนแล้วมีความสุข ไม่ต้องกลัวความเสี่ยงเท่าไหร่นักแต่ถ้าหากอยากได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นมาหน่อย แต่ก็ความเสี่ยงก็ยังทำอะไรเราไม่ได้ในระยะปานกลาง ประมาณ 3-5 ปี ก็ให้เลือก KFGOOD รับรองว่าเหมาะครับ

แต่ถ้าหากอยากลงทุนแล้วลุ้นได้ผลตอบแทนที่สูงหน่อย สามารถลงทุนระยะยาวได้ 5-7 ปีขึ้นไป ผมคิดว่าน้องใหม่ที่เพิ่มเปิดตัวไปเมื่อต้นปีอย่าง KFSUPER น่าจะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่ดี ตามสัดส่วนของหุ้นที่สูงนั่นเองครับ

โดยทั้ง 3 กองทุนเป็น Flexible Fund ที่มีการปรับสัดส่วนการลงทุนได้ครับ ผู้จัดการกองทุนจะมีการปรับสัดส่วนระหว่างทาง เพื่อบริหารความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น นึกภาพนะครับว่าจากวันที่เราลงทุนไป เวลาผ่านไปตัวเลขเศรษฐกิจโน่นนี่เปลี่ยนไป เงินลงทุนไหลเข้าไหลออกจากต่างประเทศ สถานการณ์ในประเทศและทั่วโลกก็คงจะเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรหยุดนิ่งอยู่กับที่ สัดส่วนการลงทุนเดิมของเราอาจไม่เหมาะสมแล้ว หากเราต้องมานั่งดูแนวโน้มการลงทุนเอง เลือกหุ้นเอง ปรับสัดส่วนเอง เชื่อผมเถอะว่าบางครั้งเราอาจทำไม่ทัน หรือจับจังหวะไม่ถูกก็เป็นไปได้ครับ ผู้จัดการกองทุนจะมาเป็นผู้ช่วยให้กับเราในเรื่องนี้ครับ

โดยผมจะขอยกตัวอย่างของกองทุนน้องใหม่อย่าง KFSUPER ครับ

ถ้าหากสถานการณ์ของตลาดหุ้นเป็นใจ กองทุนนี้จะมีน้ำหนักการลงทุนในหุ้นอาจสูงขึ้นเป็น 75% ของพอร์ตได้เลยทันที แต่ถ้าหากเกิดเหตุการณ์อะไรก็แล้วแต่ที่จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นได้ กองทุนนี้อาจจะลดสัดส่วนหุ้นให้เหลือ 0% ก็เป็นไปได้ครับ แต่ถ้าทุกอย่างอยู่ในภาวะปกติ กองทุนนี้ก็จะอาจถือหุ้นประมาณ 60%

ทั้งกองทุน KFHAPPY และ KFGOOD ก็มีหลักการคล้าย ๆ กันครับ คือถ้าเศรษฐกิจเติบโต ตลาดหุ้นมีแนวโน้มปรับตัวขาขึ้น ผู้จัดการกองทุนก็เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นได้ไปจนถึงอัตราส่วนสูงสุดที่กำหนดไว้ของแต่ละกองทุน เช่น KFHAPPY ก็คือ 25% ขณะที่ถ้าดูแล้วสถานการณ์กลางๆ ก็อาจจะลงทุนในหุ้นสัก 15% เท่านั้น

การปรับสัดส่วนลงทุนในหุ้นได้ยืดหยุ่นแบบนี้ทำให้ผู้จัดการกองทุนมีเครื่องมือในการลดความเสี่ยงให้กับกองทุน ยามที่ตลาดผันผวน และขณะเดียวกันก็เร่งโอกาสเพิ่มผลตอบแทนให้สูงขึ้น เมื่อตลาดหุ้นมีทิศทางเติบโตได้

ทั้ง 3 กองทุน ผมมองว่าเหมือนกับ เอธอส, ปอร์ธอส และอารามิส ในนิยายผจญภัยที่ชื่อ The Three Musketeers ของ อเล็กซองดร์ ดูมาส์ หรือ 3 ทหารเสือ นั่นเองครับ โดยแต่ละคนจะมีจุดเด่นของตัวเอง 

ผมก็เชื่อว่าทั้ง 3 กองทุนนี้น่าจะทำให้เราผจญภัยในโลกของการลงทุนได้มั่นใจขึ้น และมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีได้ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาศึกษาข้อมูลที่จะลุยเลือกลงทุนเอง ไม่อยากเสี่ยงสูงไปบุกอยู่แต่ในตลาดหุ้น และไม่มีอาวุธช่วยรับมือกับความผันผวนทั้งหลาย เป็นตัวช่วยให้ลงทุนได้ “ง่าย ครบ จบในกองทุนเดียว” เพื่อเป้ามายที่จะได้ใช้ชีวิตดี๊ดี ดีเว่อร์ หรือดีเริ่ด แบบที่วางแผนไว้ครับ 

วันนี้ขอลาไปก่อน แล้วพบกันครั้งหน้านะครับ สวัสดีครับ


สำหรับใครที่สนใจในกองทุนนี้สามารถคลิกเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ www.krungsriasset.com

คำเตือน: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันของผลการดำเนินงานในอนาคต

บทความนี้เป็น Advertorial