ผมว่าหลายๆคนที่อ่าน Website หรือ Facebook Fan Page ผมก็คงมี มนุษย์เงินเดือน จำนวนไม่น้อยเลยล่ะ ผมเองก็เคยเป็นเหมือนกันนะครับ ตอนที่สมัครงานครั้งแรกจำได้ว่า ส่ง email resume ไปหลายๆที่ด้วยเป้าหมายและความหวังที่ว่า "อยากได้เงินเดือนเยอะๆ" แต่พอถึงเวลาที่เขาแจ้งมาว่าได้เงินเดือนตามที่เขากำหนดได้เท่านั้น แทบเป็นลม 555 งานมันหายากใช่มะ ทำอะไรได้ก็ทำไปก่อน เดี๋ยวเงินเดือนก็ขึ้นเองล่ะน่า.... (พอขึ้นทีได้ 5-6% ก็ดีใจตายห่าแล้ว)

แต่ละวันในการใช้ชีวิตการทำงานประจำนั้น ผมก็ไม่รู้ว่าหลายๆคนรู้สึกเหมือนกับผมหรือเปล่านะครับ วันเงินเดือนออกนี่ขีดเส้นใต้ไว้เลย เพราะชีวิตที่เราวนเวียนอยู่ก็ไม่พ้นกับการ รับเงินเดือน มาทำงาน กลับบ้าน ถึงเวลา รับเงินเดือน และเงินเดือนที่มันได้ในแต่ละเดือนก็เท่ากันตลอดเวลา แต่บางทีมันก็ไม่ได้เท่ากันทุกเดือนนะ อะโด่ ไม่ใช่เจ้านายใจดีให้เงินเดือนเพิ่มหรอก แต่มันเป็นเรื่องของ "การหักเงินเดือนเพราะกฎกติกาอะไรเต็มไปหมด เช่น มาสาย ทำของพัง พักนานไปหน่อย ลูกค้าวีน ขายของไม่ได้ตามเป้า" อยากบ่นเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ รันทดเห้ๆ รันทดคอดๆ รันทดสุสุ

วัฎจักรมนุษย์เงินเดือนมันก็ไม่ได้จบอยู่แค่นี้หรอกครับ ปัจจัยเรื่องการเงินเนี่ยมันเป็นเรื่องที่สำคัญมากเรียกได้ว่าเป็นท่าน้ำเลี้ยงของชีวิตเลย คือแบบทำงานเครียดๆมาทั้งเดือนแล้ว ออกจากบ้าน จันทร์ ถึง ศุกร์ มาทำงานกันตั้งแต่เช้า หอบหึดเลือดพล่านกับเหล่าเพื่อนร่วมงานและลูกค้า เย็นๆเจ้านายไม่รู้เป็นบ้าอะไรชอบนัดประชุม 1 ทุ่ม บางทีเสาร์-อาทิตย์ อยากจะพักแต่อยู่ๆก็ต้องโดนเรียกมาทำงานด้วยนิยามความภักดีในองค์กรแบบสุดๆ (รักบริษัทมากกกกกก) ไม่ว่าจะเป็นอยู่ๆก็ต้องมาประชุม ทำงานที่ค้าง เฝ้าบูธออกงาน เวิคช็อปอะไรก็ไม่รู้ และที่น่าดีใจแต่ไม่ค่อยจะอยากดีใจนักก็คือ "ไป Outing เสาร์-อาทิตย์กัน... เราจะไปเที่ยว ค้างโรงแรมพักผ่อน แต่เอาคอมพิวเตอร์มาด้วยน้า จะมีทำงานนอกสถานที่" ฮ่วย...

พอชีวิตมันเครียด เงินเดือนก็น้อย งานก็เยอะ การใช้ตังอย่างมีความสุขมันก็ต้องเกิดขึ้นบ้าง

"เที่ยงนี้กินอะไรดีแก...." 

(คำถามนี้ฮิตทุกออฟฟิศ)

"อะไรก็ได้ ไม่เอาข้าวแกง กับ โรงอาหาร"

(ตอบกันประจำช่วงเงินเดือนออก)

แล้วความสุขเล็กๆของพวกก็จะเริ่มขึ้น ตั้งไม่เยอะหรอก ขอใช้ความสุขก่อนเดี๋ยวปลายเดือน Manage อีกที อาหารฝรั่ง ญี่ปุ่นสุดหรู มาก่อนเลยต้นเดือน กลางเดือนค่อยว่ากันว่าจะเป็นข้าวแกงหรือว่าอะไร ปลายเดือน มาม่าดีไหมครับท่าน? ก็ว่ากันไป ถ้าเราสามารถบริหารเงินได้อย่างดีมันก็ไม่มีอะไรหรอก แต่สิ่งที่มันน่ากลัวกว่านั้นก็คือ บางครั้งเราลืมไปว่า

1. เรามีเวลาทำงานกันเพียงถึงอายุ 60 ปี (เงินเก็บอยู่ไหนฟ่ะตอนนั้น)

2. เราใช้เงินเกินตัวเราอาจจะเป็นหนี้กันขึ้นมาก็ได้ ( 60 ปีแล้วยังนั่งใช้หนี้กันอยู่เลย เบี้ยยั้งชีพไม่พอแหง)

แต่ไม่เป็นไร ชีวิตการทำงานประจำวัยละอ่อนอย่างพวกเราบางทียังไม่ต้องคิดหรอก หาความสุขไป เงินไปพอเราก็มีบัตรเครดิตรูดไปก็สิ้นเรื่อง อยากได้มากเลยกระเป๋าหนังไดโนเสาร์ ใบละ 9 หมื่น ทำจากหนังไทรันโนซอรัสที่มีชีวิตอยู่หลายล้านปีก่อน มันสวยมากๆ เงินเดือนเรา 20,000 เอง รูดๆไปผ่อนชำระได้เดือนละ 5,000 บาท 18 เดือน (โปรโม่ชั่นผ่อนสบาย 18 เดือน ดอกเบี้ย 0.28% เอง) ใช้ 15,000 ลบ ลบ ต่อเดือนสบายๆ มีเงินใช้ มีกระเป๋าน่ารักให้เพื่อนดูได้

บางทีพอเราตัดสินใจผ่อนอะไรไปแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าเราคิดว่ามันจะไม่มีค่าใช้จ่ายอื่นอีกนะ อาจจะมีอีกก็ได้ อยู่ๆมันก็อยากได้อย่างอื่นเพิ่ม ผ่อนสบายอีก ผ่อนโน้นนี่นั่น แล้วเงินที่เหลือเป็นโควต้าเป็นเงินเดือน 15,000 ก็อาจจะลดน้อยถอยลง ส่วนหนี้สินที่วนเวียนอยู่ในบัตรเครดิตก็มากขึ้นๆๆ ตอนนั้นล่ะ วัฏจักรชีวิตอันน่าปวดหัวของคนเหล่านั้นจะเริ่มเกิดขึ้นแล้ว แทนที่จะทำงานหาเงินออมเพื่อเกษียณ กลับกลายเป็น ต้องทำงานหาเงินจ่ายหนี้ และหลายๆคนก็เป็นอย่างงั้นจริงๆนะ

คุณลองคิดดูแล้วกันว่าชีวิตเราที่กำลังเดินอยู่นั้นเราอยากจะเป็นอย่างไร แล้วลองมาดูใน Series ต่อๆไปเราจะทำยังไงให้เรามั่งคั่งได้บ้าง