สินเชื่อรีไฟแนนซ์ คือ ทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ซื้อบ้าน หรือที่อยู่อาศัยเป็นเงินผ่อน เพราะการเปลี่ยนแหล่งเงินกู้ยืมเพื่อลดอัตราดอกเบี้ย จะช่วยแบ่งเบาภาระ ลดค่าใช้จ่ายรายเดือนได้ในระดับหนึ่ง แถมยังมีโอกาสผ่อนหนี้หมดเร็วขึ้นอีกด้วยนะ

ซึ่งการทำรีไฟแนนซ์บ้านหรือที่อยู่อาศัยอื่นๆ สามารถทำได้ทุกๆ 3 ถึง 5 ปี ขึ้นอยู่กับสัญญาที่ทำเอาไว้ และโดยปกติดอกเบี้ยจ่ายในสัญญาช่วง 3 ปีแรก จะถูกกว่าปีต่อๆไป ทำให้หลายๆคนนิยมทำรีไฟแนนซ์ทุกๆ 3 ปีเพื่อให้ดอกเบี้ยลดลง

ถ้าใครสนใจ ก็สามารถหารายละเอียดสินเชื่อรีไฟแนนซ์ของธนาคารต่างๆ ได้ตามหน้าเว็บไซต์ของแต่ละที่เลย...

แต่! เราจะรู้ได้ยังไงล่ะว่า...สินเชื่อรีไฟแนนซ์ของที่ไหนทำแล้วคุ้มค่า และเหมาะสมกับเราที่สุด?

วิธีสังเกตว่าทำรีไฟแนนซ์กับธนาคารไหนดีที่สุด ให้ทุกคนลองมองและเปรียบเทียบ Factor ต่าง ๆ 4 ข้อ ดังนี้…

1. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของ 3 ปีแรก

อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง เป็นสิ่งที่สำคัญ ย้ำอีกรอบว่า… “สำคัญ!!!”

โดยเฉพาะ อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยใน 3 ปีแรก เนื่องจากปีต่อๆไป อัตราดอกเบี้ยมักจะแพงขึ้น และหลายๆคนมักจะมองหาแหล่งเงินกู้ใหม่ทุก 3 ปี

ลองดูว่าอัตราดอกเบี้ยใน 3 ปีแรกมีทางเลือกไหนที่น่าสนใจบ้าง จากนั้นก็นำอัตราดอกเบี้ย 3 ปี ที่หามาได้บวกกันแล้วเฉลี่ย 3 ปี ก็จะได้อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกที่แต่ละธนาคารเสนอให้

ซึ่งคำศัพท์สำคัญที่คนผ่อนบ้านต้องรู้เลย ก็คือ อัตราดอกเบี้ย “MLR (Minimum Loan Rate)” และ “MRR (Minimum Retail Rate)” โดยแต่ละธนาคารจะใช้อัตราดอกเบี้ยข้างต้นไม่เหมือนกัน หน้าที่ของเราคือไปหาว่า เรท MRR และ MLR ของแต่ละแห่ง อยู่ที่เท่าไหร่? และอัตราดอกเบี้ยที่แต่ละทางเลือกแจ้งมาเป็นแบบไหน?

ดังนั้นถ้าเราสามารถหา แหล่งเงินกู้ที่ให้อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก ที่ดูเข้าท่า (อัตราดอกเบี้ยถูกกว่าที่เดิมเยอะๆ) ก็ควรคัดเข้ามาไว้ใน Watch List ไว้ก่อน เพื่อที่เราจะทำการเปรียบเทียบปัจจัยอื่นต่อไป

2. ค่าใช้จ่ายที่ลดลงในแต่ละเดือน

ค่าใช้จ่ายที่ลดลงในแต่ละเดือนในช่วง 3 ปีแรก เป็นสาเหตุสำคัญอีกข้อ ที่ทำให้หลายๆคนสนใจทำรีไฟแนนซ์กันมากขึ้น เพราะการทำรีไฟแนนซ์จะช่วยให้หลายคนประหยัดเงินในเรื่องนี้ไปได้บางส่วน

ลองให้ทางธนาคารที่เราติดต่ออยู่คำนวณยอดชำระต่อเดือนมาให้ เพื่อพิจารณาว่าธนาคารไหนจะช่วยเราลดภาระในส่วนนี้ได้มากที่สุด ถ้าได้ยอดชำระที่ถูกใจเรียบร้อยแล้ว ก็คัดทางเลือกนั้นเข้ามาไว้ใน Watch List ได้เลย

ถ้าเราประหยัดค่าใช้จ่ายได้ เราก็จะมีเงินเก็บเพิ่มมากขึ้น สามารถเอาไปลงทุนต่อได้อีก

เราอาจจะได้ทั้งการลดค่าใช้จ่าย และผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย รู้อย่างนี้แล้ว จะไม่ทำรีไฟแนนซ์กันอีกหรอ!?

3. ค่าใช้จ่ายต่างๆ และ ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ

แน่นอนว่าการทำธุรกรรมรีไฟแนนซ์กับธนาคารทุกที่ ต้องมี “ค่าธรรมเนียม” และค่าใช้จ่ายต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ ทว่าทางเลือกแต่ละทางก็จะมีค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันออกไป

โดยค่าใช้จ่ายสำคัญที่มักจะพบเจออยู่บ่อยๆ จะประกอบไปด้วย ค่าจดจำนอง (1% ของวงเงินกู้) ค่าประเมินราคา, ค่าธรรมเนียมจัดการสินเชื่อค่าอากรแสตมป์ (0.05% ของวงเงินกู้), ค่าประกันอัคคีภัย เป็นต้น ซึ่งบางแห่งก็จะยกเว้นค่าใช้จ่ายบางตัวให้ บางแห่งก็ให้ผู้กู้เป็นคนออกเต็มๆ

ยิ่งไปกว่านั้นบางที่ก็จะมี “ค่าประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ” ให้ซื้อควบคู่ไปด้วย เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับธนาคารว่า ทางผู้กู้จะมีเงินมาชดใช้หนี้ให้ได้ทั้งหมด หากว่าระหว่างทางที่ผ่อนชำระ ผู้กู้เสียชีวิต หรือเป็นอะไรขึ้นมาจนไม่สามารถผ่อนชำระต่อได้ ทางธนาคารก็จะได้เงินที่คุ้มครองสินเชื่ออยู่อย่างแน่นอน

โดยส่วนมาก ธนาคารจะยื่นข้อเสนอที่ลดอัตราดอกเบี้ยให้ หากว่ามีการซื้อประกันประกอบกับการทำรีไฟแนนซ์

ทั้งนี้ก็เป็นหน้าที่ของเราเองแล้ว ที่จะต้องพิจารณาดูว่าเงินที่สามารถลดไปได้ กับเบี้ยที่ต้องจ่ายในแต่ละปีมันคุ้มค่ากันหรือไม่

4. จำนวนเงินที่ประหยัดได้

3 ข้อแรกว่าสำคัญแล้ว แต่สุดท้าย..ก็ต้องมาได้ข้อสรุปที่ข้อนี้กันทุกคนนั่นแหละ

เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดของการทำรีไฟแนนซ์ ก็คือ “จำนวนเงินทั้งหมดที่สามารถประหยัดได้ในช่วง 3 ปีแรก

โดยส่วนมากแล้วถ้าทางเลือกไหนให้อัตราดอกเบี้ยถูกที่สุด ก็มีโอกาสที่จะช่วยให้เราประหยัดได้มากที่สุด แต่ถ้าโดนค่าใช้จ่ายต่างๆ หรือต้องทำประกันชีวิตควบคู่กับวงเงิน เพิ่มเข้ามา ก็อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ประหยัดมากที่สุดก็ได้ ทางเลือกอื่นอาจจะน่าสนกว่าด้วยซ้ำไป

ดังนั้น ต่อให้ได้อัตราดอกเบี้ยที่ถูกที่สุด หรือได้ยอดผ่อนชำระรายเดือนที่น้อยที่สุด ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเสมอไป ต้องพิจารณาองค์ประกอบทุกอย่างเข้าด้วยกัน แล้วตัดสินใจเลือกทางที่จะช่วยให้เรา “ประหยัดเงินได้” ในช่วง 3 ปีแรก ถึงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

เมื่อทุกคนรู้ถึงปัจจัยต่างๆที่ควรสังเกต เพื่อที่จะทำรีไฟแนนซ์ให้คุ้มค่ามากที่สุดแล้ว ก็สามารถขอรายละเอียด ทางเลือกต่างๆ จากธนาคารได้โดยตรง หรือจะลองคำนวณด้วยตัวเองดูคร่าวๆ โดยใช้ข้อมูลต่างๆ จากหน้าเว็บไซต์ของธนาคาร ก็ได้อีกเหมือนกัน

แต่ขอย้ำอีกทีว่า“รีไฟแนนซ์” เป็นวิธีประหยัดเงิน ประหยัดเวลา และแบ่งเบาภาระทางการเงินได้ดีที่สุดทางหนึ่ง เป็นคุณค่าที่ (คนผ่อนบ้าน) ทุกคนคู่ควรจริงๆ !!!

สำหรับใครที่อยากวางแผน Refinance เพื่อบ้านในฝันลองมาคำนวณกันได้ที่ลิ้งนี้เลย
www.krungsri.com/bank/th/planyourmoney/life-goals/Plan-buy-home-refinance.html