ปัญหาอย่างหนึ่งที่อาจจะทำให้หลายคน ไม่สนใจทำประกันชีวิต นั่นก็คือ การมีข้อจำกัดต่างๆที่บังคับให้ผู้เอาประกันต้องทำตาม โดยไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ (หรือปรับเปลี่ยนได้ยาก) ทั้งค่าเบี้ยประกันภัย ทุนประกันภัย หรือระยะเวลาการจ่ายเบี้ยประกันภัย อีกทั้งเมื่อมีหลายเป้าหมายทางการเงิน หากนำเงินไปทำประกันชีวิต ก็อาจจะไม่เหลือเงินเพียงพอนำมาลงทุนเพื่อเพิ่มพูนความมั่งคั่ง จึงทำให้ประกันชีวิตเป็นสินค้าทางการเงินตัวหนึ่งที่หลายคนบอกว่า “ไม่โดนใจ”

จากปัญหาดังกล่าว บริษัทประกันหลายบริษัทจึงเริ่มออกประกันชีวิตรูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า “ประกันชีวิตควบการลงทุน” มาแก้ไขข้อจำกัดดังกล่าว ทำให้จุดเด่นที่สุดของประกันชีวิตประเภทนี้คือ การที่สามารถเลือกทำความคุ้มครองชีวิตได้สูง ไปพร้อมๆกับโอกาสการได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าประกันชีวิตในแบบเดิม โดยการอนุญาตให้เราสามารถ :

  • เลือกกำหนดค่าเบี้ยต่อปี และ/หรือ เลือกปรับเปลี่ยนสัดส่วนระหว่างความคุ้มครองชีวิตและการลงทุนได้ตามความเหมาะสมและความจำเป็นในแต่ละช่วงชีวิต (ตามเงื่อนไขของแต่ละบริษัท) โดยถ้าเลือกปรับเพิ่มความคุ้มครองชีวิต สัดส่วนของเบี้ยประกันที่เป็นส่วนของเงินเอาไปลงทุนก็จะลดลง แต่จะได้ความคุ้มครองสูงขึ้น หรือถ้าเลือกปรับลดความคุ้มครองชีวิต สัดส่วนของเบี้ยประกันที่จะเอาไปลงทุนก็จะสูงขึ้น ทำให้มีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนที่มากขึ้น 
  • เลือกออกแบบ และวางแผนการลงทุนได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นกว่าประกันชีวิตแบบดั้งเดิม จากการจัดสัดส่วนการลงทุนในกองทุนรวมประเภทต่างๆ ที่บริษัทประกันคัดเลือกมาแล้ว 

นอกจากนี้ ประกันชีวิตควบการลงทุน ก็ยังมีจุดเด่นอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกความคุ้มครองได้ตั้งแต่ 5-100 เท่าของเบี้ยฯหลักที่จ่ายไป ซึ่งสูงกว่าประกันชีวิตประเภทอื่นๆ (ขึ้นอยู่กับช่วงอายุที่ทำประกันด้วย) หรือการมีระบบอัตโนมัติที่ช่วยในการลงทุนต่างๆ เช่น ระบบสับเปลี่ยนกองทุนอัตโนมัติ (Auto Fund Switching) การลงทุนอย่างสม่ำเสมอ (DCA) หรือ ระบบปรับสมดุลพอร์ตอัตโนมัติ (Auto Rebalancing) เพื่อให้สัดส่วนของมูลค่าการลงทุนแต่ละกองทุน ยังคงเป็นไปตามที่วางแผนเอาไว้อีกด้วย

แม้จะมีจุดเด่นอยู่มากมาย แต่ก็ต้องอย่าลืมว่า ยังไงเสีย ประกันชีวิตควบการลงทุนก็ยังคงเป็น “ประกันชีวิต” อยู่ดี แปลว่า มันไม่ใช่การลงทุน 100% แต่มีส่วนของความคุ้มครองชีวิตด้วย ดังนั้น มันจึงเหมาะกับคนที่ต้องการทั้งการลงทุนและความคุ้มครองชีวิตไปพร้อมๆกันมากกว่า ใครที่อยากจะซื้อเพราะกะจะเอาไว้ลงทุนอย่างเดียวเลยจะไม่เหมาะเท่าไหร่ เพราะกรมธรรม์มันจะหักค่าใช้จ่ายในการบริหารกรมธรรม์ และค่าทำประกันด้วย ดังนั้น คนที่มองแต่เรื่องของการลงทุน ก็แนะนำไปลงทุนเองเลยจะเหมาะสมกว่า

อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้ว ในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตของคนเราก็ย่อมมีทั้งความต้องการลงทุน และความจำเป็นในการคุ้มครองชีวิตอยู่แล้ว ซึ่งเราก็สามารถเลือกใช้ประกันชีวิตควบการลงทุนในการตอบโจทย์ทางการเงินแบบนี้ได้

แต่จะวางแผนอย่างไรให้เหมาะสม? ผมขอเสนอแนวทางการใช้ประกันชีวิตควบการลงทุนมาวางแผนเพื่อให้ตอบโจทย์ความจำเป็นทางการเงิน ของคนแต่ละกลุ่มในแต่ละช่วงอายุไว้ ดังนี้

ช่วงวัยเริ่มต้นสะสมความมั่งคั่ง (30-40 ปี)

เป็นช่วงที่ทำงานมาได้สักระยะหนึ่ง ทำให้มีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง อาจยังไม่มีภาระทางการเงินอะไรมาก ดังนั้นจึงควรมุ่งเน้นการบริหารเงินไปที่การเก็บออมทั้งเงินฉุกเฉิน และสะสมเงินเพื่อเป้าหมายอื่นๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคตผ่านการลงทุนระยะยาว โดยที่อาจจะมีการคุ้มครองชีวิตควบคู่ไปด้วย เผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ยังได้ความคุ้มครองชีวิตไว้ให้คนข้างหลังด้วย เช่น พ่อ แม่ เป็นต้น

แผนประกันควบการลงทุนที่เหมาะสม :

เน้นสัดส่วนของเงินลงทุนเป็นหลัก เน้นคุ้มครองชีวิตเป็นเรื่องรอง โดยเลือกที่ความคุ้มครองต่ำสุด และสามารถจัดพอร์ตการลงทุนที่ความเสี่ยงสูงได้ เพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น

ช่วงวัยสร้างความมั่นคงให้ครอบครัว(36-45 ปี)

เป็นช่วงเวลาที่เริ่มมีครอบครัว  จึงเป็นช่วงที่มีความจำเป็นที่ต้องสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัว ทั้งในส่วนของความคุ้มครองชีวิตที่สูงเพราะหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันก่อนที่ลูกจะโต เพื่อให้ครอบครัวสามารถอยู่ได้อย่างสบาย ใช้ชีวิตได้เหมือนที่ผ่านมาโดยไม่สะดุด และระหว่างทางยังต้องมีการสะสมเงินอีกจำนวนหนึ่งเพื่อใช้ในการศึกษาเล่าเรียนของลูกในอนาคต

แผนประกันควบการลงทุนที่เหมาะสม :

เน้นวางแผนโดยให้เลือกสัดส่วนของความคุ้มครองสูงกว่าสัดส่วนของการลงทุน เนื่องจากเป็นช่วงที่ยังมีความเสี่ยงอยู่ค่อนข้างสูงจากการดูแลลูก จึงควรป้องกันความเสี่ยงกรณีหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เพื่อให้ลูกมีทุนประกันชีวิตไว้เป็นค่าเลี้ยงดูและค่าเล่าเรียน แต่หากยังมีชีวิตอยู่ดี ก็สามารถปรับเน้นลงทุนมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสได้ผลตอบแทนมาใช้เป็นค่าเล่าเรียนลูก หรือเป็นทุนเกษียณส่วนหนึ่งในยามเกษียณได้

ช่วงวัยวางแผนเกษียณอย่างมั่งคั่ง(40 ปีขึ้นไป)

เป็นช่วงเวลาที่ควรจะเริ่มเตรียมตัวเข้าสู่วัยเกษียณ เพราะเริ่มมีฐานะมั่นคง มีรายได้อย่างสม่ำเสมอแล้ว อย่างไรก็ตาม อาจจะยังมีห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายของคนในครอบครัวอยู่บ้าง แต่เริ่มลดความกังวลลง (ลูกเริ่มใกล้เรียนจบ) ทำให้เริ่มออกไปใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ที่ตัวเองต้องการได้ ดังนั้น จึงควรเริ่มวางแผนลงทุนเก็บเงินเพื่อเกษียณให้มากขึ้น พร้อมกับวางแผนคุ้มครองชีวิตบางส่วนควบคู่ไปด้วยเพราะอายุก็เริ่มมากขึ้น

แผนประกันควบการลงทุนที่เหมาะสม :

ต้องวางแผนเลือกระดับความคุ้มครอง และผลตอบแทนและความเสี่ยงในการลงทุนให้เหมาะสม เช่น หากมีภาระการเงินเหลือน้อยแล้ว และยังมีเวลาเตรียมตัวเกษียณพอสมควร ก็อาจมาเน้นการลงทุนมากกว่า โดยเลือกวางแผนผลตอบแทนปานกลาง-สูง เพื่อเน้นเตรียมเงินใช้หลังเกษียณได้ โดยเน้นการกระจายการลงทุนตามสินทรัพย์ หรือเครื่องมือการเงินต่างๆ เช่น หุ้น กองทุนรวม ตราสารหนี้ หรือประกันชีวิตควบการลงทุนด้วยเช่นเดียวกัน แต่หากใครยังมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับลูกและครอบครัวสูง และยังมีเวลาเตรียมตัวเพื่อเกษียณนาน ก็อาจจะเน้นคุ้มครองมากกว่า ส่วนการลงทุนก็เลือกที่ผลตอบแทนสูงได้

ช่วงวัยส่งต่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน (50 ปีขึ้นไป)

เป็นช่วงเวลาที่ภาระทางการเงินของคนส่วนใหญ่น่าจะหมดลงแล้ว และเริ่มต้องทยอยดึงเงินที่เก็บสะสมไว้มาใช้ในช่วยวัยเกษียณ ดังนั้น ต้องเน้นความปลอดภัยของเงินที่เก็บสะสมมาเป็นหลัก กำลังมองถึงการวางแผนมรดก ส่งมอบทรัพย์สิน หรือกิจการต่อให้ลูกหลานด้วยเช่นกัน เพื่อให้การส่งมอบทรัพย์สินเป็นไปอย่างราบรื่น

แผนประกันควบการลงทุนที่เหมาะสม :

สำหรับคนที่เน้นเตรียมเงินเพื่อเกษียณ อาจจะเลือกปิดกรมธรรม์ แล้วนำเงินที่สะสมมาทั้งหมดไปบริหารจัดการต่อเองก็ได้ แต่ไม่ควรเลือกลงทุนที่ความเสี่ยงสูง (คาดหวังเกิน 5-6% ต่อปี) หรือต่ำเกินไป (เพราะสูงเกินไปก็อันตราย ต่ำเกินไปก็แพ้เงินเฟ้อ) แต่สำหรับคนที่ต้องการเตรียมมรดกให้ลูกหลาน  ก็สามารถใช้เพื่อวางแผนมรดกโดยตรง โดยทำทุนประกันคุ้มครองเท่าที่ต้องการเป็นมรดกให้ลูกหลาน และกำหนดสัดส่วนของผลประโยชน์ที่ลูกหลานแต่ละคนจะได้รับเป็นจำนวนที่แน่นอนได้ทันที  หรือหากไม่ต้องการทำทุนประกันสูง แต่ยังอยากสร้างเงินมรดกให้ลูกหลานอยู่ ก็ยังสามารถเก็บสะสมเงินไว้ในกรมธรรม์เพื่อให้เงินสะสมเติบโตต่อไปได้ และเป็นมรดกอีกส่วนหนึ่งให้ลูกหลานได้เช่นเดียวกัน

ซึ่งใครที่กำลังมองหา ประกันชีวิตควบการลงทุนอยู่ ทางธนาคาร TMB ก็ได้ออกประกันชีวิตควบการลงทุนตัวใหม่ที่ชื่อว่า “TMB Wealthy Link” มาให้ตอบโจทย์ ซึ่งก็มีจุดเด่นอยู่ที่

  • เป็นการสร้างความ “มั่นคง” และ มั่งคั่ง” ไปพร้อมๆกัน จากความคุ้มครองชีวิต พร้อมโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนรวมคุณภาพ
  • เลือกความคุ้มครองได้สูงสุด 100 เท่าของเบี้ยประกันภัยหลัก (สำหรับคนที่อายุไม่เกิน 35 ปี)
  • เลือกลงทุนได้ผ่านกองทุนคุณภาพที่คัดสรรแล้วจาก บลจ.ทหารไทย, บลจ.ยูโอบี และ บลจ. อเบอร์ดีน
  • ปรับเปลี่ยนได้ตามใจ ทั้งสัดส่วนความคุ้มครองชีวิต และการลงทุน รวมถึงยังสามารถสับเปลี่ยนกองทุนได้ตามสถานการณ์ตลาด
  • สับเปลี่ยนกองทุนได้ทุกสถานการณ์ โดยไม่มีค่าธรรมเนียม
  • สามารถลงทุนเพิ่มในเบี้ยประกันภัยเพิ่มพิเศษ (Top-up) ได้สูงสุดถึง 150 ล้านบาทต่อกรมธรรม์
  • มีระบบอัตโนมัติช่วยบริหารการลงทุน เช่น การปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนอัตโนมัติ หรือการทยอยเข้าลงทุนอย่างสม่ำเสมออัตโนมัติ

เมื่อเปรียบเทียบ TMB Wealthy Link กับประกันชีวิตทั่วไป

หากสนใจ ปลดล็อกประกันชีวิตรูปแบบใหม่ ที่ให้ความคุ้มครองพร้อมผลตอบแทนที่เหนือกว่าประกันชีวิตแบบเดิมๆ ก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ของธนาคาร TMB ได้เลยครับ www.tmbbank.com/twl/ins

สำหรับใครที่อยากทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “ประกันชีวิตควบการลงทุน” ให้ชัดเจนมากขึ้น มาลองดู Infographic ที่อธิบายให้เห็นภาพแบบชัดๆ และอ่านสรุปกันต่อกันได้เลยครับ

สรุป

ประกันชีวิตควบการลงทุน นอกจากจะมีความมั่นคงในเรื่องความคุ้มครองชีวิตแล้ว ยังความมั่งคั่งที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้จากผลตอบแทนการลงทุนในกองทุนรวมที่ผ่านการคัดสรรมาแล้ว ดูแลและให้คำปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ และที่สำคัญคือความสามารถออกแบบให้ตอบโจทย์ของตัวเราเอง เลือกปรับเปลี่ยนสัดส่วนความคุ้มครองชีวิตและการลงทุนเองได้ตามใจ ต่างจากประกันชีวิตแบบทั่วไป ขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงจากการลงทุนเพิ่มเข้ามาด้วยเช่นกัน เพื่อแลกกับโอกาสการได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น

อย่างไรก็ตามแบบ ประกันชีวิตควบการลงทุน จึงเหมาะกับคนที่มีความต้องการทั้งความคุ้มครอง และการลงทุนไปพร้อมๆกัน โดยที่สามารถรับความเสี่ยงของการลงทุนได้ และอย่าลืมว่า ควรเลือกบริหารความคุ้มครองและผลตอบแทนให้สอดคล้องกับภาระและเป้าหมายการเงินของแต่ละช่วงชีวิตไว้ด้วยนะครับ #มั่นคงอย่างมั่งคั่ง #มากกว่าประกันชีวิต #TMBWealthyLink

บทความนี้เป็น Advertorial