อันนี้มาจากคำถามของนักลงทุนชาวแฟนเพจของ Aommoney.com นะครับ

"หุ้นที่น่าออมหน้าตามันควรจะเป็นอย่างไรนะ?"

หลายคนก็พยายามจะศึกษากัน แต่สำหรับคนที่อยู่ในวงการหุ้นมานาน เขามองแป๊ปเดียวเห็นเลยว่าหุ้นไหนหล่อ สวย จริงๆพื้นฐานการดูมันก็แล้วแต่ศิลปะของแต่ละบุคคลนะ มันก็เหมือนเวลาที่เราจะเลือกแฟนนั่นล่ะ หล่อสวยแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วเราจะรักกันไปนานแสนนานหรือไม่นั้นก็อยู่ที่เรามองออกเป็นไปตามนั้นหรือเปล่า หุ้นก็เช่นกัน หากเราต้องการจะออมอย่างมาความสุขในระยะยาวๆ เราก็ต้องเลือกให้มันดูดีหล่อสวยทั้งร่างกายและจิตใจ ลองมาดูกันในแบบฉบับง่ายๆของ Aommoney กันก่อนนะครับว่า หน้าตามันจะต้องเป็รอย่างไร อิอิ

1. มีกำไรขั้นต้นและกำไรสุทธิดี

แหม++ อันนี้สำคัญมากเลยนะ สมมติเราขายของเนี่ย สิ่งหนึ่งที่เราต้องการเห็นในกิจการของเราก็คือ "ทำธุรกิจแล้วมีกำไร" ถ้าธุรกิจมีกำไรแล้วอะไรๆมันก็จะดีขึ้นเพราะเงินก็จะเข้ามายังบริษัท แล้วเงินนี้เอาไปทำอะไรต่อล่ะ? เอาไปขยายกิจการก็ได้ ลงทุนเพิ่มก็ได้ เอาไปปันผลผู้ถือหุ้นก็ได้ แต่อย่างที่ทราบกันว่า กำไรนั้นเราอาจจะมองเน้นไปทาง "กำไรขั้นต้น" เป็นอันดับแรกก่อน

กำไรขั้นต้น

กำไรขั้นต้นมันก็คือการดูว่าสินค้าของเราในแต่ละชิ้นหักต้นทุนออกมาแล้วดูยอดขายว่ามันเป็นอย่างไร สมมติว่าเรา ผลิตเสื้อผ้าขาย เรามีต้นทุนในการทำเสื้อผ้า 100 บาท แล้วเราเอาไปขาย 500 บาท แสดงว่ากำไรต่อชิ้นเราสูงมากถึง 400 บาท ขายได้เดือนนึง 10,000 ตัว ก็มีกำไรอื้อซ่าเลย แต่ในบางธุรกิจกำไรขั้นต้นมันไม่ได้เยอะ เราอาจจะมีต้นทุน 100 บาท แต่ราคาในตลาดขายกัน 109 บาท กำไรต่อชิ้นแค่ 9 บาทเองง่ะ ต้องขายขนาดไหนถึงจะได้กำไรสูงก็ไม่รู้

พวกกำไรขั้นต้นมันสำคัญมากเลยนะ บางทีเรากะจะทำธุรกิจแต่กำไรแค่จากการขายมันก็น้อยอยู่แล้ว มาเจอต้นทุนอื่นๆเช่น ต้นทุนการบริหารงาน ค่าจ้างเด็กมาช่วยขาย ค่าเช่าร้าน ค่าน้ำค่าไฟ รับรองว่ากำไรที่หักออกไปอีก อาจจะเหลือน้อยลงเรื่อยๆ จนอาจจะขาดทุนเลยก็ได้ แต่ถ้ากำไรขั้นต้นสูงนะ โอ้ย สบายเลย ยิ่งขายมากยิ่งขยายอะไรหลายๆอย่างได้มาก แต่พวกกำไรน้อยเนี่ย เหนื่อยฉิบ

กำไรสุทธิ

กำไรขั้นต้นมันเป็นอะไรที่จะบอกเป็นนัยๆได้ว่าบริษัทที่ลงทุนไปน่าลงทุนอะเปล่า ถ้าขายของแล้วได้กำไรน้อย เปลี่ยนๆๆๆๆๆ เพราะต้องอย่าลืมว่าเราจะต้องเจอบรรดาค่าบริหารงานทั้งหลายอีก ไม่ใช่ว่าขายของเอาต้นทุนหักออกมาแล้วถือเป็นกำไรเลย เพราะค่าใช้จ่ายอื่นๆมันก็มี ลูกน้องก็ต้องจ่ายเงินเดือนต่างๆ หากค่าบริหารงานมันอยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ ลบค่าใช้จ่ายทางด้านการเงินจิปาทะออกไปอีกสุดท้ายแล้ว บริษัทก็จะมีกำไรสุทธิเกิดขึ้น กำไรในส่วนนี้ล่ะที่จะเข้ามาเป็นกระแสเงินสดให้กับบริษัทในการเอาเงินไปทำโครงการต่างๆได้ในอนาคต ยิ่งมีเยอะก็ยิ่งเลิศ ใช่ไหมครับ?

แน่นอนครับหากเป็นธุรกิจที่มีการเติบโต กำไรพวกนี้มันจะไม่อยู่นิ่งๆนะ มันจะต้องมีการโตต่อเนื่องด้วย ปีนี้ขายก๋วยเตี๋ยวได้ กำไร 10 ล้าน ปีหน้าขายได้ 20 ล้าน เงินที่ได้มาก็จะมากขึ้นเอาไปต่อยอดขยายธุรกิจอะไรต่างๆได้มากขึ้น มีผลทำให้ผู้ถือหุ้นได้กำไรจากการถือหุ้นและอาจจะมีเงินปันผลเข้ามาอีกด้วยนะ

2. มีความได้เปรียบทางการแข่งขัน

ธุรกิจที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันเนี่ยมันก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญมากเลยนะครับ หากเราลงทุนกับบริษัทหนึ่งๆแล้ว ตอนแรกๆเราพบว่า โหๆๆ งบก็ดี อะไรก็ดี กำไรก็โต นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะดีอย่างงั้นตลอดไปก็เป็นไปได้ ถูกป่ะ? มันต้องจริงอยู่แล้วหากเราเปิดร้านขายอาหารในย่านที่คนเจาะแจะจอแจเป็นเจ้าแรก แล้วเราเป็นเจ้าเดียว ใครๆก็มาซื้อกับเรา แรกๆเราก็ต้องคิดว่า "เรารวยแล้ววววว" แต่พออีกแปปนึงมันจะต้องมีคู่แข่งเข้ามาแน่นอน เราขายส้มตำ คู่แข่งขายส้มตำตาม ลูกค้าก็จะมาดูแล้วว่า เห้ยยย ที่ไหนมันอร่อยแล้วถูกกว่าว่ะ? ตอนนั้นสงครามราคาอาจจะเกิดขึ้นเพื่อแย่งลูกค้าก็ได้

เวลาเราเลือกลงทุนกับธุรกิจ มันก็ต้องเลือกธุรกิจที่มีอะไรที่มีชั้นเชิง คู่แข่งมาแข่งไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะสินค้าทำยาก ไม่มีของทดแทน ต้องใช้เทคโนโลยีที่คนอื่นอาจจะต้องพัฒนาอีกยาว อาจจะเป็นของที่มีความได้เปรียบทางด้านคุณภาพ มีต้นทุนราคาที่ต่ำกว่า มีพันธมิตรทางการค้าที่ดี หรือ อาจจะมีแบรนด์ที่เจ๋งพอที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ ประมาณว่าไม่ว่าลูกค้าจะเดินมาจากทางไหนก็ต้องตรงมาทางนี้ จริงๆเราลองมองรอบๆตัวก็ได้นะว่า อะไรที่มันเป็นธุรกิจที่แข็งแกร่งบ้าง แบบว่าคู่ค้ามาทำตามก็สู้ไม่ได้ไม่ว่าเหตุผลใดๆก็ตาม

เวปไซต์ Aommoney แบรนด์แข็งแกร่งไหม? เวลาใคร Copy Infographic เราไป ผู้อ่านยังรู้เลยว่ามาจากเรา?

3. มีการนำเงินลงทุนอย่างต่อเนื่อง

ทุกคนก็คงอยากจะเห็นธุรกิจและบริษัทที่เราออมหุ้นอยู่เติบโตใช่ไหมครับ การที่เราลงทุนในร้านก๋วยเตี๋ยวซักร้านหนึ่ง มันก็จะขายก๋วยเตี๋ยวอยู่อย่างนั้นล่ะ วันนึงอาจจะขายได้ตามจำนวนที่จำกัด เพราะพนักงานขายก๋วยเตี๋ยวอาจจะเมื่อยมือ มีเวลาขายเท่าเดิม ร้านมันก็มีอยู่แค่ 1 ห้อง แต่ถ้าเราอยากจะสร้างผลกำไรเพิ่ม มันก็มีอยู่ 2 วิธี

1. ขึ้นราคา

วิธีนี้หลายๆคนอาจจะบอกว่า โหดดดดดด ขึ้นราคาเลย ก๋วยเตี๋ยวขายดี เดิมขายชามละ 100 ปรับเป็น 180 เลย ถ้าลูกค้ายังกินอยู่ก็สาธุ ฮ่าๆ ล้อเล่น การปรับราคานั้นมันก็ไม่ใช่แค่เรื่องปรับเพราะต้นทุนต่างๆเพิ่มขึ้น อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่เราอาจจะปรับเพราะต้องการสร้างผลกำไรที่มากขึ้นก็ได้ แต่นั่นก็อยู่ที่ว่า เมื่อปรับแล้วลูกค้าโอเคกับเราไหม ถ้าเขารู้สึกแพงไปเขาก็ไม่มาใช้บริการ แต่ถ้าของเราดีจริงๆ อาจจะเพิ่ม value added ขึ้นมา ปรับราคาเพิ่มแต่อัตราของกำไรก็เพิ่มตามก็อาจจะทำให้ลูกค้า Happy ที่จะยอมจ่ายมากขึ้นก็ได้

2. ขยายสาขาแตกไลน์ธุรกิจ

การขยายสาขาก็ไม่ต่างกับการทำตัวเป็นอะมีบา ถ้าเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวก็ขยายจาก 1 ร