ยุคนี้ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่หลายๆคน มักจะมีความฝันคล้ายๆกันคือ "อยากมีอิสรภาพทางการเงิน" เร็วๆ หรือ "อยากเกษียณเร็ว" คืออยากเกษียณตั้งแต่อายุไม่ถึง 40 เพื่อจะได้ใช้ชีวิตให้เต็มที่ เอาเวลามาทำอะไรที่ตัวเองอยากทำ ไม่อยากเป็นลูกจ้างไปตลอดชีวิต

แผนการหนึ่งที่หลายๆคนมักจะคิดว่าเป็นทางออกไปสู่อิสรภาพทางการเงิน คือ "การลงทุนในหลักทรัพย์" เช่น หุ้น กองทุนรวม เทรด Forex (หรือถ้าเป็นช่วงที่ผ่านมาก็อาจจะเป็น Crypto Currency) โดยหวังว่าจะสามารถเลือกลงทุนในหุ้น หรือหลักทรัพย์ใดสักอย่างหนึ่งถูกตัว แล้วหลักทรัพย์นั้น ก็จะราคาพุ่งทยาน ทำกำไรได้มากๆ จนทำให้เงินลงทุนโตเป็นหลายล้าน มากเพียงพอที่จะเอาไว้สร้าง Passive Income หรือรายได้จากทรัพย์สิน ให้เราได้ไปตลอดชีวิต

นั่นคือความฝันของใครหลายๆคน แต่มาลองดูในความเป็นจริงกันดูนะครับ ว่ามันจะมีโอกาสหรือความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน

============================

สมมติว่า ตอนนี้เราอายุ 30 ปี เราอยากมีอิสรภาพทางการเงิน โดยอยากมีพอร์ตการลงทุนที่จะสามารถสร้างรายได้ให้เราได้ เดือนละ 50,000 บาท หรือปีละ 600,000 บาท เราจะวางแผนให้พอร์ตการลงทุนนี้สร้างผลตอบแทนต่อปีประมาณ 5% เนื่องจากไม่ต้องการความเสี่ยงและความผันผวนจากการลงทุนมากจนเกินไป เพราะต้องถอนเงินมาใช้เป็นประจำ

ดังนั้น มูลค่าพอร์ตการลงทุนที่เราต้องมีอย่างน้อยก็คือ 600,000/5% = 12,000,000 บาท 

(อันนี้คือคิดแบบง่ายๆนะครับ เพราะในความเป็นจริง เราอาจจะต้องถอนเงินมาใช้ในอนาคตมากขึ้น เนื่องจากข้าวของมีราคาแพงขึ้นจากเงินเฟ้อ ทำให้เราต้องถอนเงินมาใช้มากกว่าเดือนละ 50,000 บาท แต่จากการคำนวณแบบนี้คือ ให้ถอนเงินมาได้เดือนละ 50,000 บาทคงที่ไปตลอดโดยยที่พอร์ตมูลค่าไม่ลดลง)

คำถามก็คือ เราคิดว่า เราจะสามารถหาเงิน 12 ล้านบาทนี้ได้ภายในระยะเวลากี่ปี?

ลองคำนวณดูเล่นๆ สมมติว่า เราต้องการมีอิสรภาพทางการเงินตอนอายุไม่เกิน 40 ปี แปลว่า เรามีเวลาเก็บเงินนานที่สุดคือ 10 ปี คำนวณดูแล้วว่า ต่อให้เราลงทุนได้เทพมากๆ ได้ผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยปีละ 25% จากตลาดหุ้น 10 ปีติดต่อกัน เราก็ยังต้องลงทุนเฉลี่ยปีละประมาณ 360,000 บาท ตามภาพ

(PMT คือ เงินที่เราต้องลงทุนในแต่ละปี / FV คือมูลค่าเงินในอนาคตที่เราต้องการ / Rate คืออัตราผลตอบแทนทบต้นที่เราได้รับ / Period คือระยะเวลาการลงทุน (ปี))

จะเห็นว่า ต่อให้เราเป็นนักลงทุนที่เทพยิ่งกว่า Warren Buffet เราก็ยังต้องใช้เงินลงทุนปีละ 360,000 บาท หรือเดือนละถึง 30,000 บาท คำถามคือ เราเหลือเงินลงทุนในแต่ละเดือนแต่ละปีพอเท่านี้หรือไม่? สำหรับคนทั่วไป (ถ้าจะเหลือเงินลงทุนเดือนละ 30,000 บาท คาดว่าอย่างน้อยคงต้องมีรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 100,000 บาท)

หรือลองคิดในอีกมุมหนึ่ง ถ้าสมมติว่าเรามีเงินลงทุนได้เดือนละ 5,000 บาท หรือปีละ 60,000 บาท (ซึ่งก็น่าจะพอเป็นไปได้สำหรับคนอายุ 30 ที่มีรายได้ประมาณ 30,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป) เพื่อให้มีเงิน 12 ล้านบาทในอีก 10 ปี เราต้องลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นประมาณ 62% ต่อปี ติดต่อกัน 10 ปี ตามภาพ

ซึ่งหลักทรัพย์ที่จะให้ผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยถึง 62% ต่อปีนั้นหายากมากๆ ถ้าเราไม่ได้โชคดีไปซื้อ bitcoin ไว้ตั้งแต่ปี 2010 ก็แทบจะหาไม่ได้แล้วในตอนนี้ (หรือถึงตอนนั้นเราจะหาได้ เราจะมั่นใจไหมว่า มันจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในเวลาต่อมา ในขณะที่ตอนนั้นแทบจะเป็นสิ่งไร้ค่า ไม่มีใครให้ค่ามันเลย)

และยิ่งถ้าเราอยากมี Passive Income มากกว่านี้ หรือต้องการเกษียณเร็วกว่านี้ ก็ยิ่งต้องใช้ผลตอบแทนหรือเงินลงทุนมากขึ้นไปอีก

============================

สิ่งที่ผมอยากจะสรุปให้เห็นภาพก็คือ การที่คนส่วนใหญ่คิดว่าจะมีอิสรภาพทางการเงินเร็วๆ หรือเกษียณเร็ว โดยคิดจะเอาเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์ ให้เงินเติบโตเพียงพอ มันเป็นแผนที่เป็นไปได้ยากๆมาก เพราะ

1) เราต้องหาผลตอบแทนทบต้นได้สูงๆ ติดต่อกันหลายปี ซึ่งเป็นไปได้ยาก และ

2) เราต้องใช้เงินลงทุนต่อปีค่อนข้างสูง ถ้าเราไม่ได้มีเงินก้อนที่เยอะระดับหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งเราก็มักจะมีเงินลงทุนไม่พอ โดยเฉพาะกับคนที่อายุน้อย รายได้ยังไม่มาก

ดังนั้น ถ้าเรามีความฝันจะเกษียณเร็ว หรือมีอิสรภาพทางการเงินตั้งแต่อายุยังไม่มาก เราอาจจะต้องมองหา "เครื่องมืออื่น" ที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้ให้เราได้เร็วกว่า มีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า และเราสามารถควบคุมมันได้มากกว่าหลักทรัพย์ทั่วๆไปครับ

แล้วเครื่องมืออะไรล่ะ ที่มีโอกาสสร้างอิสรภาพทางการเงินให้เราได้มากกว่าหลักทรัพย์?

จากความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่ นี่คือตัวอย่างของเครื่องมือที่ผมคิดว่า มีโอกาสที่จะสามารถช่วยให้เราเกษียณเร็วได้ครับ

=============================

1. อสังหาริมทรัพย์ (ที่ดิน, บ้าน, คอนโด, อพาร์ทเม้นต์ให้เช่า)

อสังหาฯ คือเครื่องมือที่สามารถช่วยสร้างรายได้ให้เราได้ในทันที โดยไม่ต้องเก็บเงินก้อนใหญ่ให้ได้หลายล้าน เพราะเราสามารถ "กู้ยืม" เงินจากแหล่งเงินกู้ เช่นธนาคาร มาลงทุนในอสังหาฯได้ (ถ้าเราเป็นคนที่มีรายได้มั่นคง หรือมีเครดิตมากพอ) โดยภาระของเราคือต้องจ่าย "เงินผ่อน" ให้กับทางธนาคาร ดังนั้น รายได้จากการลงทุนของเราจึงต้องมาจากการหาผู้เช่า ที่จ่ายค่าเช่าให้เราได้มากกว่าเงินผ่อน เราถึงจะได้กำไร เช่น คอนโดราคา 3 ล้านบาท เราต้องผ่อนเดือนละ 19,000 บาท แต่เราปล่อยเช่าได้เดือนละ 24,000 บาท ก็เท่ากับว่า เราจะมีรายได้จากทรัพย์สินเพิ่มเข้ามาเดือนละ 5,000 บาท โดยที่เราไม่ต้องลงมือทำงานเอง ส่วนต่างระหว่างค่าเช่าที่ผู้เช่าจ่าย กับเงินผ่อนที่เราต้องผ่อนธนาคาร นั่นแหละครับ คือ กระแสเงินสด ที่เมื่อสะสมรวมกันในอสังหาฯหลายๆแห่ง ก็อาจจะช่วยให้เรามี Passive Income ที่เพียงพอจะเกษียณเร็วได้

2. ธุรกิจ

ธุรกิจในที่นี้คือ กิจการ ที่เราเป็นเจ้าของ ที่ดำเนินธุรกิจบางอย่าง เช่น ขายสินค้า หรือบริการ หรือสร้างคุณค่าอะไรก็ตาม ที่เป็นที่ต้องการของตลาด มีความสามารถในการแข่งขัน มีลูกค้าประจำ สิ่งที่เราจะได้รับในฐานะเจ้าของ ก็อาจจะเป็นส่วนแบ่งจากรายได้หรือกำไรที่ธุรกิจได้รับ เช่น เงินเดือน หรือเงินปันผล แต่หากเราต้องการเกษียณเร็ว นั่นแปลว่า เราต้องสร้างธุรกิจจนธุรกิจสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้จากระบบการบริหารจัดการที่เราสร้างขึ้น โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาเราตลอดเวลา เพื่อให้เราลงมือทำเองทุกอย่างจนไม่ได้พัก ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องหาคนมาทำงานแทนเราแล้วจ่ายค่าจ้างเป็นค่าตอบแทนให้ ส่วนตัวเราเองจะมีหน้าที่บริหารจัดการธุรกิจในภาพรวม ซึ่งอาจจะไม่ต้องไปลงแรงทำงานหนักด้วยตัวเอง (แต่แน่นอนว่าในช่วงแรกที่เราเริ่มสร้างธุรกิจเราก็คงต้องลงมือทำหลายอย่างด้วยตัวเองก่อน จนกว่าธุรกิจจะแข็งแรงพอที่จะเดินต่อไปเองได้ในระดับหนึ่ง)

3. ค่าลิขสิทธิ์ / สิทธิบัตร / ส่วนแบ่งค่าโฆษณา

สิ่งเหล่านี้คือ "ทรัพย์สินทางปัญญา" คือการที่เราใช้สมอง ใช้ไอเดียของเราในการประดิษฐ์ คิดค้น หรือสร้างผลงานบางอย่าง แล้ว "เรียกเก็บ" ค่าธรรมเนียม เมื่อมีใครต้องการนำไอเดีย หรือสิ่งที่เราสร้างเอาไว้ ไปใช้งานหรือหาผลประโยชน์ต่อไป หากเป็นในโลกทุกวันนี้ก็เช่น ค่าลิขสิทธิ์จากการแต่งเพลง หรือการเขียนหนังสือ หรือปัจจุบันอาจจะเป็นการที่เจ้าของ "พื้นที่" ในโลกโซเชียลแบ่งรายได้จากค่าโฆษณาให้ผู้สร้าง Content ในพื้นที่ของตัวเอง เช่นการที่ YouTube แบ่งค่าโฆษณาให้เรา ถ้าเราสามารถสร้างช่อง หรือคลิปวิดีโอที่มีคนดู หรือผู้ติดตามจำนวนมากได้

4. การขายบริการออนไลน์ที่สามารถ "ทำซ้ำ" ได้

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ก็เช่น "การทำคอร์สสอนออนไลน์" ที่มีต้นทุนต่ำ แต่สามารถสร้างรายได้ที่เกิดจากการ "ใช้ซ้ำ" ได้ตลอดเวลา โดยที่เราลงทุนลงแรงมากๆเพียงครั้งเดียวตอนเริ่มต้น หลังจากนั้น ก็สามารถเก็บค่าคอร์สอย่างต่อเนื่องได้ ทุกครั้งที่มีคนยินดีจ่ายค่าเรียน และเป็นวิธีการสอนที่สามารถเข้าถึงคนจำนวนมากได้ในคราวเดียว

5. การใช้ OPR (Other People Resources)

หลายคนพอจะเริ่มต้นทำธุรกิจ หรือคิดจะสร้างรายได้อัตโนมัติ ก็มักจะคิดว่า เป็นไปได้ยาก เพราะต้องใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่ ไม่รู้จะไปหาจากที่ไหน ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่เรามักจะสร้างให้ตัวเอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราสามารถหารายได้จากการ "ใช้ทรัพยาการของผู้อื่น" เช่น เงินลงทุน แรง เวลา หรือความช่วยเหลืออื่นๆ โดยไม่ต้องใช้เงินของตัวเองได้ (ภาษาอังกฤษเรียกว่า เป็นการใช้ "Leverage" หรือพลังทวี ที่เป็นเหมือนคานงัด ช่วยผ่อนแรงให้เรา ไม่ต้องออกแรงเอง) แต่การที่คนอื่นจะยอมให้เรายืมเงิน หรือทรัพย์สิน หรือเป็นความช่วยเหลืออื่นๆ นั่นก็แปลว่า พวกเขาก็ต้องได้ผลประโยชน์ตอบแทนเช่นเดียวกัน จึงเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องคิดไอเดียว่า เราจะทำอย่างไรที่จะสร้างผลประโยชน์ให้กับใครบางคน โดยที่เราขอแบ่งส่วนแบ่งของผลประโยชน์นั้นอย่างยุติธรรมกับทุกๆฝ่ายด้วย ยกตัวอย่างเช่น การที่ธนาคารยอมให้เรายืมเงินมาลงทุน แลกกับการคิดดอกเบี้ยเป็นค่าตอบแทน หรือการเป็นผู้แนะนำการลงทุนอย่างถูกต้องให้ผู้ที่มีเงินลงทุน แต่ไม่รู้ว่าจะลงทุนอย่างไร หากเราสามารถให้คำแนะนำในการลงทุนที่ดี จนทำให้ผู้ลงทุนได้กำไร เงินลงทุนเติบโตงอกเงย เราอาจจะขอส่วนแบ่งกำไรส่วนหนึ่งเป็นค่าธรรมเนียมการให้บริการในแต่ละปี ตราบใดที่เงินลงทุนของคนอื่นยังอยู่กับเรา เราก็จะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมส่วนนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งนี่คือโมเดลการหารายได้ที่ทาง บล. บลจ. และผู้แนะนำการลงทุนใช้กันโดยทั่วไปในปัจจุบัน

============================

ทั้ง 5 ข้อคือตัวอย่างของไอเดียการใช้เครื่องมือ หรือวิธีการสร้างรายได้จากทรัพย์สิน ที่สามารถเพิ่มโอกาสช่วยให้เราเกษียณเร็วได้ และอาจจะมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่าการเอาเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นการลงทุนทางอ้อม เนื่องจากเป็นวิธีการที่เราสามารถสร้างรายได้จากทรัพย์สินได้ในทันที โดยอาจจะไม่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก และเรายังมีความสามารถในการบริหารจัดการทรัพย์สินเหล่านั้นเองได้เป็นส่วนใหญ่ ต่างจากการลงทุนในหลักทรัพย์ที่เรามักจะควบคุมหรือบริหารจัดการหลักทรัพย์เองได้ยาก (ขึ้นอยู่กับธุรกิจที่เราไปลงทุน ผจก.กองทุน หรือความผันผวนของความต้องการในตลาด) การลงทุนในหลักทรัพย์ จึงเหมาะกับการลงทุนแบบสะสมเงินให้ค่อยๆเติบโตในระยะยาว มากกว่าจะหวังผลกำไรจำนวนมากในระยะสั้นอย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม การจะเครื่องมือต่างๆเหล่านั้นในการสร้างรายได้จากทรัพย์สิน ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรก ที่เราต้องต่อสู้ อดทน ลองผิดลองถูก เรียนรู้จากประสบการณ์ ความผิดพลาด ล้มเหลว แต่ต้องทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ สมอง ความคิดอย่างมาก กว่าที่จะเริ่มเห็นผล ซึ่งก็อาจจะใช้เวลาอยู่หลายปี

อีกทั้งต่อเมื่อทรัพย์สินนั้นสามารถสร้างรายได้ให้เราได้แล้ว ก็ใช่ว่า เราจะอยู่เฉยๆสบายๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลยต่อไปก็ได้ เพราะทรัพย์สินทุกอย่าง ยังต้องอาศัยการบริหารจัดการ ตรวจสอบ ควบคุม พร้อมปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ เช่น คนทำธุรกิจ ก็ต้องคอยติดตามแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคอยู่เป็นระยะ คนให้เช่าอสังหาฯ ก็ต้องคอยจัดการกับผู้เช่า หรือคนสร้าง Content ก็ต้องคอยคิดไอเดียใหม่ๆอยู่เสมอ

ดังนั้น การเกษียณเร็ว หรือการมีอิสรภาพทางการเงิน จึงไม่ได้หมายถึงการอยู่เฉยๆโดยไม่ต้องทำอะไรก็ได้ แต่คือการสามารถ "ผ่อนแรง" ตัวเองลงได้ เพราะมีรายได้จากทรัพย์สินที่คอยทำงานแทนเรา โดยที่เราเป็นคนคอยบริหารในภาพรวมมากกว่า

ส่วนคำตอบที่แน่ชัดสำหรับแต่ละคนว่า สุดท้ายแล้ว "ถ้าอยากจะสร้างรายได้จากทรัพย์สิน? จะใช้วิธีการอะไรดี" ผมก็ต้องฟันธง หรือตอบแทนทุกคนไม่ได้ เนื่องจากแต่ละคน ก็มีไอเดีย ความชอบ ความเชื่อ ความถนัดแตกต่างกัน ดังนั้น ในเรื่องนี้เราคงต้องคิด ไปลองผิดลองถูก หาคำตอบกันเอาเอง

เพราะไม่มีเครื่องมือไหน หรือวิธีการไหนที่   "ดีที่สุด" สำหรับทุกคน มีแต่วิธีที่ "เหมาะกับเราที่สุด" ที่ทำให้เรามีความสุขและมีพลังใจที่อยากลงมือทำอยู่เสมอ มากกว่าครับ

เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่มีความพยายามนะครับ :)