ซีรี่ย์การออมหุ้นตอนนี้ ตอนที่ 3 ยังอยู่ในช่วงเวลาที่ชีวิตผมเป็นเม่าน้อยคอยรักแท้ในตลาดหุ้น

อย่างที่ผมบอกนะครับว่า ก่อนหน้าที่หุ้นจะลงแรงๆจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2008 

การเล่นหุ้นของผมก็เป็นอารมณ์ของการดูกรอบราคา ซื้อ 7 บาท ไป 9 บาท 10 บาทขาย

เล่นกันสนุกสนานกับเพื่อนชาวเม่าและบรรดาเกจิที่ออกมาเชียร์หุ้นกันทั้งวันทั้งคืน

จนตอนนั้นมีกระแสข่าว "เกิดวิกฤตจากการล้มของบริษัทเลแมนบราเธอร์"

กวินก็ยังไม่ได้รู้เรื่องอะไรเล้ยยยยยย ยังนั่งเทรดไปเรื่อยๆ จำได้ว่าตอนนั้นลงทุนบริษัทอสังหา

ยังนั่งคิดอยู่เลยว่า สถาบันการเงินในอเมริกาล้มจะไม่ทำให้คนซื้อบ้านหรือไง บร้าเปล่า!!!

และเหตุการณ์หุ้นลงเรื่อยๆก็เกิดขึ้นแบบนี้ฮะ.......

เอาจริงๆนะ ตอนนั้นแรกๆหลงดีใจมากเลย เดิมที่เล่นหุ้นตามกรอบ 7 - 10 บาท

อยู่ๆก็เห็นหุ้นลงไป 6 บาท โอ้ย ดีใจตายเลย ซื้อๆๆๆๆ ทุ่มเงินลงไปอีกเพราะคิดว่าเด้งเป็น 10 จะขาย

และมันก็ไม่ไปที่ 10 นะสิ มันลงไป 5 บาท ตอนนั้นก็คิดว่ามันถูกลงไปอีกก็เลยซื้ออีกรอบหนึ่ง ทุ่มเงินเลย

หุ้นที่ผมเล่นนั้นลงไปถึงระดับ 2 บาทเลย จากเดิมที่เล่นกันแถว 7 บาท แล้วลงไป 2 บาทเนี่ยทรมานมาก

สุดท้ายแล้วทุนผมอยู่แถวๆ 6 บาท เพราะคนส่วนใหญ่จะซื้อเยอะๆตอนมั่นใจ....

และตอนที่หุ้นลงเรื่อยๆมันเกิดความไม่มั่นใจ เราจะทยอยซื้อแบบน้อยลงเรื่อยๆ จนถัวไม่ไหว

มันคือการถัวหุ้นอย่างมีอารมณ์จึงทำให้การตัดสินใจมันผิดพลาดได้ง่ายๆ

การถัวเฉลี่ยแบบ DCA จะแตกต่างกับการถัวหุ้นมากๆ ซึ่งเดียวผมจะขยายความในตอนต่อไปนะครับ

มาค้นพบตัวเองอีกทีก็คือ ดอยไกล ดอยยาวไปแล้วล่ะ.....

ผมจำได้ว่าพอร์ตผมติดลบเยอะมาก รุ่นแรงที่สุดก็คือช่วงที่วิกฤตนอกมาพร้อมกับการปิดสนามบิน

พอร์ตการลงทุนผมเสียหายแบบ -70 ถึง -80% ได้ มันเยอะมากเลยนะ คิดดูสิถ้ามี 1 ล้านบาท เหลือแค่ 2 แสน

อันนี้เป็นรูปพอร์ตที่ผมถ่ายไว้ แต่ไม่ใช่ช่วงลงสุดๆนะครับ แดงเถือกเลย ก็เหมือนกับทุกๆคนล่ะ

ผมก็เคยเจอประสบการณ์แบบนี้เช่นกัน ไม่แปลกหรอก คนเดินดินธรรมดาเหมือนกันนั่นแหระ

เกลียดที่สุดเลยตอนนั้นคือพอไม่มีกำไรแล้วถูกเชียร์ให้ Take Profit

จะบร้าหรอ ไหนกำไรฟ่ะ? 130 บาทนั่นหรอ? 555 อุ้ยยยย ปวดใจ

และเมื่อหุ้นลงเรื่อยๆ มันก็มีเสียงกระซิบมาจากเพื่อนผู้หญิงในร่างผู้ชายคนเดิม

มาชวนผมคัทลอสทุกวันๆ ตอนที่มัน -20% ก็ชวนคัท -50% ก็ชวนคัท -70% ก็ชวนคัท

ตอนนั้นถามจริงๆเถอะ ใครจะไปกล้าคัทลอส ก็อาจจะมีก็ได้ บางคนใจแข็ง

เพื่อนผมคนนึงคัทลอสไป แต่... เขาดันกลับมารับใหม่ แล้วก็คัทรอบ 3

สรุปผมก็ไม่รู้ว่าการคัทลอสหรือการ short Against Port มันดีหรือเปล่า

เพราะตอนนั้นทำไม่เป็น ยิ่งทำยิ่งขาดทุน ก็ไม่ได้มีประสบการณ์อะไร มั่วๆเดาๆเอา

ตอนนั้นเดาทางไม่ค่อยจะถูกเท่าไหร่เพราะอะไรมันก็สับสนไปหมด

พยายามหาข่าว อ่านบทความชาวบ้านว่าเรามองยังไงกันบ้าง ผมก็ไม่ค่อยรู้จักใคร

ลองอ่านในห้องสินธร มีแต่คนอวดครวญ ยิ่งอ่านยิ่งที่ให้จิตตกก็เลยไม่อ่าน

ส่วนอิเกจิ มันก็หายไปเลยนับตั้งแต่ตอนนั้น ไม่พูดเรื่องหุ้นอีกเลย (คงโดนไปเยอะ)

ก็ได้แต่ทำใจนะครับ แล้วก็ต้องไปเรียนรู้วิชาการลงทุนเพิ่มจากบรรดาอาจารย์ทั้งหลาย

ในช่วงนั้นผมได้พบอาจารย์หลายๆท่าน และได้ฟังเรื่องการลงทุนดีๆ เช่น

อ.เทพ รุ่งธนาภิรมย์ : หุ้นห่านทองคำ สอนให้เลือกหุ้นดีว่าทำยังไง

ดร. สมจินต์ ศรไพศาล : แกเล่าเรื่อง P/E ตลาดให้ฟังในช่วงวิกฤต

พี่ลูกหมู นฤมล บุญสนอง : ตอนนั้นแกช่วยปรับความจิตตกผมเยอะมาก

และมีอีกหลายๆท่านที่ผมอาจจะจำไม่ได้ และกลายเป็นคนใหญ่คนโตใน บล บลจ กันแล้วครับ

รวมถึงการฟัง Concept เรื่อง DCA จากพี่ที่เคยทำงานในวงการตลาดทุนอีกท่าน

โดยสรุปว่าไปฟังมาหลายๆที่ก็คิดว่าตัวเองเลือกหุ้นผิด ต้องกลับมาปรับพอร์ตเต็มไปหมด

เริ่มดูงบการเงินเป็น เริ่มศึกษาตัวธุรกิจมากขึ้นแล้วก็ปรับพอร์ตการลงทุนใหม่

พร้อมๆกับการอ่านหนังสือของวอเรน บัฟเฟต์ว่าเขาคิดอย่างไร

ซึ่งผมสรุปจากแนวคิดที่ได้รับมาคือ "ถ้าหุ้นดีนะ ยังไงมันก็ต้องกลับมา"

ก็เริ่มหัดดูงบการเงิน การทำกิจการ แล้วก็ปรับพอร์ตในชีวิตครั้งใหญ่เลยโดยการ

"ขายหุ้นที่ไม่ดี เปลี่ยนเข้าในหุ้นดี" 

ก็คล้ายๆการคัทลอสล่ะมั้ง แต่เราให้เหตุผลในการลงทุนมากขึ้นว่าคัททำไม

การสลับหุ้นไม่ดีเป็นหุ้นดีคือ Mindset แรกที่ผมต้องทำอย่างเข้าใจ

แต่มันต่างกับการคัทลอสหรือการถัวเข้าไปเรื่อยๆ

เพราะ Mindset ผมเริ่มให้ความสำคัญกับตัวขึ้นมากกว่าราคาแล้ว สลับทันที...

ตอนนั้นคิดแบบนี้ก็เพราะ ไม่รู้จะถ้าขายเอาเงินออกมาแล้วก็ไม่รู้จะเข้าราคาไหน

กลัวมันขึ้นก็กลัว กลัวมันลงก็กลัว งั้นเอาเป็นว่าผมขายตัวไม่ดีและเข้าตัวที่คิดว่าดีทันทีดีกว่า

พอร์ตจากลบเยอะๆมันก็ดีขึ้นมาเรื่อยๆนะ

มีการปรับพอร์ตขายบางตัวทิ้งไป เก็บเงินสดบางส่วน

แล้วหุ้นที่ดีก็ยังถือมันต่อ และก็นั่งรอดูว่าเมื่อไหร่มันจะขึ้นกลับมาอีก

ก็ดีกว่าเดิมเยอะนะ เดิม -70% ต่อมา -20% ดีใจมาก แม้มันจะไม่ได้กำไรอะไรเลยก็ตามแต่

ในช่วงเวลาวิกฤตเดียวกัน ตอนนั้นผมก็ไม่ได้มี พอร์ตเม่าอย่างเดียว ผมมีการลงทุนแบบ DCA ด้วยนะ

เดียวจะเล่ารวบยอดทีเดียวในตอนต่อๆไปว่าผมเรียนรู้กับมันอย่างไรบ้าง

เอาเป็นว่าชีวิตเม่ามันก็ดีขึ้นนะ แม้มันจะมีผันผวนบ้างก็ตามแบบ ลบมากๆแล้วติดลบน้อยลงแล้วก็ลบมากๆอีกที

ตอนนั้นไม่มีอะไรจะเสียแล้วไง ได้แต่นั่งคิดว่า เห้ยยย วอเรน บัฟเฟตยังถือวอชิงตันโพสเลยแม้หุ้นจะลงต่อ

และเมื่อเวลามาถึงผมก็พบว่า ผมเข้าใจ Cycle ของราคาหุ้นแล้วล่ะว่ามันเป็นอย่างไร.... 

หุ้น... มีลง ก็ต้อง.... มีขึ้น ด้วยอะสิ ว่าแต่เราเลือกหุ้นที่ให้ผลตอบแทนระยะยาวได้ดีหรือเปล่า?