หลายคนอาจจะเชื่อและไม่เชื่อ เพราะดูชีวิตตัวเองแล้วก็ยังเห็นว่าปกติสุขดี ยังใช้ชีวิตอยู่ได้สบาย ไม่เจ็บป่วย ไม่ตกงาน แต่ก็ไม่ได้มีเรื่องเซอร์ไพรส์ให้ดีใจ หรือเปลี่ยนแปลงชีวิตอะไรได้  ทว่าความคิดของคนเหล่านี้อาจเปลี่ยนไป หากได้ย้อนกลับไปดู “10 เหตุการณ์ที่สุดของความไม่แน่นอน ปี 60” 

หากพิจารณาดูดีๆ แล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนส่งผลกระทบทางการเงินแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะกับตัวเราเอง คนรอบข้าง หรือคนใกล้ชิดก็ตาม  สิ่งเหล่านี้คือความเสี่ยงต่างๆ ที่เป็นตัวอย่างให้เราเข้าใจถึงความไม่ประมาทที่อาจเกิดขึ้นในชีวิต

จะมีเหตุการณ์อะไรกันบ้าง ตามมาดูพร้อมๆกัน แล้วคุณจะเชื่อว่า “อะไรๆก็มีสิทธิ์เกิดขึ้นกับชีวิตของเราได้จริงๆ”

อันดับ 10 ตลาดหุ้นไทยทำสถิติดัชนีทะลุ 1,700 จุด ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2560 ตลาดหุ้นไทยสามารถทำดัชนีทะลุ 1,700 จุดได้เป็นครั้งแรก ในรอบกว่า 20 ปี หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมายืนยันว่า จะประกาศเลือกตั้งในเดือนมิถุนายน 2561 ได้เพียงแค่วันเดียว

วันต่อมาตลาดก็ขานรับข่าวนี้ในทิศทางบวกได้อย่างน่าเซอร์ไพรส์ใครหลายๆ คน ทำให้หลังสิ้นสุดวันที่ 10 ตุลาคม ดัชนีพุ่งทะยานขึ้นไปที่ 14.73 จุด และปิดตัวที่ 1,706.95 จุด ซึ่งถือเป็นการทะลุ 1,700 จุดได้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เดือน มกราคม 2537 หรือเมื่อกว่า 23 ปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ถ้าเราเข้าใจตลาด เราก็จะเห็นได้ว่า การที่ตลาดหุ้นกลับมาทะลุ 1,700 จุดได้นั้น อาจจะไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ หรือน่าตื่นเต้นอะไรมากนัก เพราะอย่างไรเสีย หากธุรกิจทั้งหลายในตลาดหลักทรัพย์ ยังสามารถทำกำไร และดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ธุรกิจก็ย่อมจะเติบโต มูลค่าย่อมเพิ่มสูงขึ้น และทำให้ดัชนีของตลาดสูงขึ้นมาแตะ 1,700 จุด (หรือแม้จะ 1,800 1,900 จุดก็ตาม) ในอนาคตได้ตามธรรมชาติ เพียงแต่จะเร็วหรือช้าเท่านั้น

อย่าลืมว่า คนที่ทำกำไรในรอบนี้ได้ ก็ไม่ได้แปลว่า จะสามารถทำกำไรระยะยาวได้เสมอไป หากเรามัวแต่มานั่งกะเก็งเวลาในการลงทุน (อย่างไร้ความรู้และหลักการ) เพราะวันดีคืนดี ดัชนีตลาดหุ้นก็อาจจะกลับไปดิ่งเหวในยามวิกฤติได้เช่นกัน

ฉะนั้น อย่ามองโลกในแง่ดี หรือแง่ร้ายกับการลงทุนมาจนเกินไป แต่ควรถามตัวเองว่า “วางแผน” ในการลงทุนมาดีแล้วหรือยัง ว่าถ้าเกิดเหตุความไม่แน่นอนขึ้นมา (ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน) เราจะมีวิธีการรับมือกับมันยังไง เพื่อให้เราประสบความสำเร็จในการลงทุนในระยะยาวมากกว่าจะตื่นเต้นกับการที่ตลาดทำดัชนีได้สูงขึ้นในช่วงสั้นๆ

อันดับ 9 การออกมาประท้วง และลงประชามติ เพื่อประกาศเอกราชของแคว้นกาตาลัน

ช่วงปลายเดือนกันยายน 2560 ชาวกาตันลันกว่า 7 แสนคน ได้เดินขบวนประท้วง เพื่อทำการลงประชามติในวันที่ 1 ตุลาคม ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย จากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจของสเปนพยายามยับยั้งผู้ร่วมชุมนุม จนเหตุการณ์เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

ในที่สุดเมื่อวันที่  27 ตุลาคม ตามเวลาท้องถิ่น สมาชิกรัฐสภาแคว้นกาตาลุนญา ก็มีมติประกาศเอกราชออกจากสเปนด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ที่ 70 ต่อ 10 เสียง งดออกเสียง 2 คน จากสมาชิกรัฐสภาแคว้นฯ 135 คน เป็นที่ชัดเจนว่า ชาวกาตาลัน “ไม่เอา” สเปน และต้องการแยกตัวออกมาอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสเปนก็ยังไม่รับรองการประกาศเอกราชของกาตาลุนญ่า แต่อย่างไร หนำซ้ำยังเตรียมใช้มาตรา 155 แห่งรัฐธรรมนูญยึดอำนาจจากกาตาลุนญ่าอีกต่างหาก เพราะแคว้นกาตาลุนญ่านั้นถือครองเศรษฐกิจกว่า 19% ของมูลค่าเศรษฐกิจโดยรวมของสเปน และยังมีตัวเลขการส่งออกถึง 1 ใน 4 ของทั้งประเทศ

ดังนั้น หากกาตาลุนญ่าแยกตัวออกไปได้ ย่อมส่งผลประทบต่อเศรษฐกิจของสเปนเต็มๆ อย่างแน่นอน บทเรียนของการลุกขึ้นมาประท้วงของชาวกาตาลุนญ่าในครั้งนี้ จึงสอนเราว่า แม้แต่ประเทศที่ดูสงบสุข และเจริญแล้วอย่างประเทศสเปน วันดีคืนดีก็อาจจะเกิดปัญหาความแตกแยกขึ้นมาอย่างรุนแรงจากคลื่นใต้น้ำที่สะสมมานานจนพร้อมจะระเบิดตัวขึ้นมา

คำถามคือ เรื่องนี้ จะเป็นตัวอย่างให้กับหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยเราได้หรือไม่ และทางออกใด จะเป็นทางออกแห่งสันติวิธีที่เหมาะสมที่สุดของทั้งสองฝ่าย

อันดับ 8 การจากไปของโจ บอยสเก๊าต์ จากอาการหัวใจวายเฉียบพลัน

เด็กยุค 90s ทุกคน คงไม่มีใครไม่รู้จักวง “บอยสเก๊าต์” แห่งค่าย RS ที่ประกอบไปด้วย 3 หนุ่มนักร้องนำอย่าง “โจ” “ต๊ะ” และ “ดิพ”

วันเวลาผ่านไป ทั้ง 3 คนก็ยังคงร้องเพลงอยู่ และในคืนวันที่ 11 พฤศจิกายน ขณะที่โจกำลังร้องเพลงอยู่ที่ร้านคัลเลอร์บาร์ ย่านทาวน์อินทาวน์ ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เมื่ออยู่ๆ โจก็ล้มลงไปกลางเวที ท่ามกลางความตื่นอกตกใจของแฟนเพลง ลูกค้าภายในร้าน รวมถึงทั้ง ต๊ะ และดิพ เพื่อนร่วมวงที่อยู่ในเหตุการณ์ แต่ก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ จนทำให้โจเสียชีวิตในเวลาต่อมา จากอาการหัวใจวายเฉียบพลัน

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากจะทำให้ใครหลายคน โดยเฉพาะคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้เข้าใจคำว่า “ความไม่แน่นอน” ในชีวิตมากขึ้นแล้ว ก็ยังกลายเป็นประเด็นทางสังคมที่พูดถึงกันในเรื่องของความรู้ในการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เพื่อช่วยเหลือผู้ที่หมดสติ โดยเฉพาะวิธีการผายปอด และนวดกระตุ้นหัวใจอย่างถูกต้องอีกด้วย

แม้จะไม่มีใครสามารถช่วยโจได้ในครั้งนี้ได้ แต่อย่างน้อย มันก็เป็นบทเรียนให้เรารู้จักเตรียมรับมือกับวิกฤติในชีวิตอย่างถูกต้อง อย่างน้อยก็เพื่อช่วยเหลือคนอื่นได้ในอนาคตก็เป็นได้

อันดับ 7 การย้ายตัวฟ้าผ่า ที่เป็นสถิติโลก ของ เนย์มาร์

ใครจะคิดว่า อยู่ดีๆ เนย์มาร์ก็ตัดสินใจอำลาถิ่นคัมป์นูอย่างฟ้าผ่า โดยเจ้าตัวตัดสินใจย้ายไปร่วมทีม ปารีส แซง แชร์กแมง ด้วยค่าตัวช็อคโลกกว่า 200 ล้านยูโร (เกือบ 8,000 ล้านบาท) ทำลายสถิติโลกเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา และช็อคแฟนบอลเจ้าบุญทุ่มไปพร้อมๆ กัน ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ออกมาเปิดเผยในภายหลังว่า สาเหตุที่ย้ายเพราะรับไม่ได้กับแนวทางการบริหารทีมของเหล่าบอร์ดบริหารของบาร์เซโลน่า นำโดย โจเซฟ มาเรีย บาร์โตมิว ทั้งการซื้อตัวที่ผิดพลาด และการที่ไม่เคยปกป้องเจ้าตัว หลังจากมีข่าวพัวพันกับการเลี่ยงภาษีของประเทศสเปน

นี่จึงเป็นอีกหนึ่งอุทาหรณ์ให้แฟนบอลทั่วโลกต้องตระหนักว่า ในวงการฟุตบอลไม่มีอะไรแน่นอน อย่ายึดติดกับนักเตะคนไหนเป็นพิเศษ ไม่เช่นนั้นวันหนึ่งอาจจะต้องหัวใจสลาย เมื่อเห็นเขาเดินจากไป แต่ตอนนี้ แฟนๆบาร์เซโลน่า อาจจะไม่แคร์เรื่องนี้มากสักเท่าไหร่ เพราะแม้จะขาดเนย์มาร์ไป แต่เจ้าบุญทุ่มกลับบินสูงอยู่หัวตารางของลาลีก้าอย่างสง่างาม 

อันดับที่ 6 อดีตพลตำรวจเอกที่ถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 กว่า 180 ล้านบาท

มาถึงเรื่องไม่คาดฝันที่น่าตื่นเต้นกันบ้าง เมื่อการถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 ก็ว่าเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้สำหรับใครหลายต่อหลายคนแล้ว แต่สำหรับ พ.ต.อ.ศรศักดิ์ แล้ว การถูกรางวัลที่ 1 อาจจะกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย เมื่อเขาสามารถพิชิตล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 ได้ถึง 30 คู่ ในงวดวันที่ 16 ก.ค. 2560 ถูกเงินรางวัลรวมทั้งสิ้น 180 ล้านบาท! ยิ่งไปกว่านั้น เขาถูกรางวัลทั้งหมดนี้ ในวัย 75 ปี!

เราก็ไม่ทราบว่า ด้วยวัยนี้ พ.ต.อ.ศรศักดิ์ จะนำเงิน 180 ล้านบาทไปทำอะไรบ้าง แต่เราก็เชื่อว่า ด้วยจำนวนเงินเท่านี้เขาคงหมดความกังวลทั้งการเงินไปตลอดช่วงเวลาที่เหลือได้อย่างแน่นอน (หากไม่เกิดเหตุพลิกผันไปเสียก่อน) รวมไปถึงลูกหลานด้วยเช่นกัน ที่สำคัญ จากการที่รับราชการมาตลอด 40 ปี พ.ต.อ.ศรศักดิ์ ยังตั้งใจที่จะนำเงินส่วนหนึ่งบริจาคให้กับสมาคมตำรวจ เพื่อนำไปใช้ในงานตำรวจต่อไปอีกด้วย

อันดับที่ 5 การกวาดรายได้ไปกว่า 1,000 ล้านบาทของหนังฉลาดเกมโกง

สำหรับหนังไทยแล้ว การจะกวาดรายได้ 100 ล้านบาท ก็ว่าเป็นเรื่องยากมากแล้ว เรื่องไหนสามารถทำได้ นั่นถือเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในประวัติศาสตร์หนังไทยเลยทีเดียว แต่สำหรับหนังเรื่องไหนที่ทำได้ถึงระดับ “1,000 ล้านบาท” มันจะกลายเป็นหนังระดับ “ตำนาน” ในทันที ซึ่งที่ผ่านมา มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่ทำได้ คือ “พี่มาก...พระโขนง” จากค่าย GTH

แต่สำหรับ “ฉลาดเกมโกง” หนังวัยรุ่นที่ว่าด้วยเรื่องของการ “โกงข้อสอบ” เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่มีใครเคยคาดคิดมาก่อน ว่าจะทำรายได้มากมายถึงขนาดนี้ แม้แต่ตัวของ “บาส” นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ผู้กำกับหนังเรื่องนี้เองก็ตาม

ด้วยความที่เป็นหนังที่ค่อนข้างมีสไตล์ สด ใหม่ หาดูได้ยากในบ้านเรา ซึ่งเป็นการนำเรื่องราวของวัยรุ่นทั่วไปมาทำให้กลายเป็นหนังโทน “Thriller” (ตื่นเต้น ระทึกขวัญ) จากประเด็น “แอบโกงข้อสอบ” พร้อมสอดแทรกแง่คิดของความผิดถูกชั่วดี ภายในสังคม และค่านิยมด้านการศึกษาของบ้านเรา ทำให้สุดท้าย ฉลาดเกมโกง กลายเป็นหนังที่สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชมทั้งในและต่างประเทศ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน ที่สามารถเปิดตัวได้ถึงอันดับ 2 ในบ๊อกซ์ออฟฟิศของจีน จนกลายเป็นหนังไทยที่ทำรายได้มากที่สุดของที่นั่น และยังสามารถทำรายได้รวมทุกประเทศที่ได้ฉายไปกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งมีไม่บ่อยครั้งนักที่หนังไทยจะสามารถทำรายได้ได้สูงขนาดนี้ และที่สำคัญที่สุดคือ ได้รับการยอมรับในต่างแดนหลายๆประเทศ นั่นพิสูจน์แล้วว่า ถ้าผู้ผลิตและผู้กำกับไทย มุ่งมั่นตั้งใจทำหนังที่มีคุณภาพจริงๆ หนังย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จ และขายได้ด้วยตัวของมันเอง โดยไม่จำเป็นต้องอ้อนวอนให้คนไทยมาช่วยอุดหนุนกันแต่อย่างใด

อันดับ 4 การจากไปของเชสเตอร์ เบนนิงตัน จากอาการโรคซึมเศร้า

แฟนเพลงทั่วโลกคงไม่มีใครไม่รู้จักวงร็อคที่ชื่อ Linkin Park ที่มีผลงานเพลงท็อปฮิตอย่าง In the End, Numb, Somewhere I Belong, Shadow of the Day และอื่นๆอีกมากมาย รวมไปถึงตัวของนักร้องนำเองอย่าง เชสเตอร์ เบนนิงตัน ผู้มีพลังเสียงแหบแหลมสูง เป็นเอกลักษณ์

แฟนเพลงทั่วโลกก็คงไม่มีใครคาดคิด ว่าเมื่อเช้าวันที่ 20 กรกฎาคม 2560 ตัวเองจะได้รับข่าวช็อคหู เมื่อทราบว่า เชสเตอร์ เบนนิงตัน ถูกพบว่าเสียชีวิตจากการปลิดชีพตัวเองด้วยการแขวนคอ โดยเจ้าหน้าทีว่า สาเหตุที่เชสเตอร์ตัดสินใจจบชีวิตก่อนวัยอันควรอย่างน่าเศร้าเช่นนี้ เป็นเพราะเชสเตอร์นั้นเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งได้รับการยืนยันมาจาก ไมค์ ชิโนดะ เพื่อนรวมวงที่สนิทที่สุดคนหนึ่งของเชสเตอร์

สาเหตุสำคัญที่คาดกันว่าเป็นต้นเหตุของโรคซึมเศร้าของเชสเตอร์นั้น หลายฝ่ายวิเคราะห์กันว่า อาจมาจากปมในวัยเด็กของเขา ที่เคยมีทั้งปัญหาครอบครัว, ถูกล่วงละเมิดทางเพศ และปัญหายาเสพติดในอดีต รวมถึงการจากไปของคริส คอร์เนลล์ เพื่อนสนิทที่เชสเตอร์เคารพรัก ซึ่งเสียชีวิตด้วยลักษณะเดียวกันเมื่อสองเดือนก่อนที่ตัวเขาจะตัดสินใจจากโลกนี้ตามไป

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สังคมเริ่มตระหนักถึงความเข้าใจว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้านั้นคือ “ผู้ป่วย” ที่เกิดจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง ที่นำไปสู่กระบวนการความคิด และการตัดสินใจต่างๆที่ดูเหมือนจะเกิดจากความอ่อนแอของจิตใจ แต่นั่นก็เป็นเพราะความผิดปกติทางร่างกาย ที่เชื่อมกับจิตใจของคนเราอย่างแยกไม่ออก ซึ่งก็มีส่วนทำให้สังคมหันมาเข้าใจคนที่เป็นโรคนี้มากขึ้น

แม้เชสเตอร์จะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ผลงานเพลงของเขายังคงอยู่ในใจแฟนเพลงทุกคนทั่วโลกไปตลอดกาล...

อันดับ 3 เหตุไฟไหม้อาคารเกรนเฟลล์ ทาวเวอร์ ลอนดอน

กลางดึกคืนวันที่ 14 มิถุนายน 2560 ชาวกรุงลอนดอนต้องพบกับความระทึกขวัญ เมื่อพบเหตุเกิดเพลิงไหม้อาคารเกรนเฟลล์ ทาวเวอร์ บริเวณตะวันตกของกรุงลอนดอนร่วมกว่า 10 ชั่วโมง และมันก็กลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งย่อยๆ หลังเพลิงสงบแล้ว มีผู้เสียชีวิตและสูญหายทั้งในขณะเกิดเหตุ และในเวลาต่อมากว่า 80 คน บาดเจ็บอีกร่วมร้อยคน

สาเหตุที่มันกลายเป็นโศกนาฏกรรมเนื่องจากอาคาร เกรนเฟลล์ ทาวเวอร์เป็นอาคารที่อยู่อาศัยสูง 24 ชั้น มีผู้พักอาศัยร่วม 600 คน ต้นเหตุของเพลิงไหม้คาดว่ามาจากไฟฟ้าลัดวงจร และมีการใช้วัสดุหุ้มอาคารภายนอกที่ราคาถูก ติดไฟง่าย ทำให้เพลิงไหม้ลุกลามไปทั่วตึกอย่างรวดเร็ว เกินกว่าที่ผู้พักอาศัยส่วนใหญ่จะเตรียมตัวหนีได้ทัน เมื่อเพลิงลุกลามจนท่วมอาคารทั้งหลัง ทำให้พนักงานดับเพลิงร่วม 200 นาย ต้องใช้เวลาดับเพลิงกว่า 10 ชั่วโมง จึงจะควบคุมเพลิงไว้ได้

หลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญ ทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่สอบสวนร่วมกับวิศวกรโยธาร่วมกันสืบหาสาเหตุของต้นตอเพลิงไหม้ และตรวจสอบโครงสร้างอาคารอีกหลายแห่งทั่วทั้งลอนดอนว่าได้มาตรฐาน และมีแนวทางการปฏิบัติ และควบคุมความเสียหายที่เป็นไปตามระเบียบที่กำหนดไว้หรือไม่ เพื่อไม่ให้ต้องเกิดเหตุสะเทือนขวัญเช่นนี้ซ้ำสองอีกครั้ง

หันกลับมามองบ้านเราแล้ว ก็ชวนให้เกิดคำถามกับหลายๆอาคารว่า ด้วยสภาพที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ แต่ละอาคารมีความมั่นคงปลอดภัยแค่ไหน มีมาตรการควบคุมรักษาความปลอดภัยจากเพลิงไหม้ที่เป็นไปตามระเบียบข้อกำหนดหรือไม่ เพราะสภาพของอาคารหลายแห่งที่เป็นอาคารเก่าก็ชวนให้น่ากังวลเหลือเกิน

ประวัติศาสตร์และบทเรียนแห่งความเสียหายมีให้เราเรียนรู้มากพอแล้ว อยู่ที่ว่ามันจะกลายเป็นบทเรียนให้เราเรียนรู้เพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก หรือทำให้ตัวเองกลายเป็นอีกหนึ่งอุทาหรณ์ให้กับคนอื่น ก็อยู่ที่ตัวของเราเอง

อันดับ 2 เหตุระเบิดในเมืองแมนเชสเตอร์

เมื่อเวลาประมาณ 4 ทุ่ม ของวันที่ 22 พ.ค. 2560 ที่แมนเชสเตอร์ อารีนา สถานที่จัดคอนเสิร์ตของ อาริอาน่า กรานเด้ ในเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ หลังจากที่บทเพลงของอาริอาน่าจบลง ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เมื่อเกิดระเบิดกลางสถานที่จัดคอนเสิร์ตทำให้มีผู้เสียชีวิตทันที 23 ราย บาดเจ็บอีกประมาณ 60 ราย

หลังการสืบสวน ตำรวจพบร่างของผู้ต้องสงสัย คือนาย ซัลมาน อะเบดิ อายุ 22 ปี เป็นชาวอังกฤษเชื้อสายลิเบียที่เกิดในแมนเชสเตอร์ ที่ระเบิดร่างตัวเองเสียชีวิตไปพร้อมกับเหยื่อด้วยระเบิดแสวงเครื่อง โดยสันนิษฐานว่าเป็นการก่อการร้ายตามความเชื่อของผู้ที่เป็นมุสลิมหัวรุนแรง โดยหลังเหตุการณ์ ทางกลุ่มก่อการร้าย รัฐอิสลามอิรัก และซีเรีย หรือ ISIS ก็ได้มากล่าวอ้างความรับผิดชอบต่อผลงานการก่อการร้ายดังกล่าว พร้อมขู่ว่าเหตุโจมตีครั้งถัดไปว่าจะรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความสะเทือนขวัญให้กับชาวแมนเชสเตอร์ และสหราชอาณาจักรอย่างมาก เพราะนับเป็นเหตุก่อการร้ายจากระเบิดที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดนับตั้งแต่เหตุก่อการร้ายในกรุงลอนดอนเมื่อปี 2005 ที่ครั้งนี้ มีผู้เสียชีวิตรวมทั้ง เด็ก วัยรุ่น ทั้งหญิงและชาย อายุไม่ถึง 20 ปี ที่ต้องจบชีวิตลงก่อนวัยอันควรหลายราย

แม้เหตุการณ์จะเกิดขึ้นในประเทศแทบยุโรปที่ห่างไกลกับการใช้ชีวิตของเรา แต่อย่างน้อย เหตุการณ์ในครั้งนี้ก็เตือนให้เรามีสติมากขึ้นต่อภัยอันตรายรอบตัวที่ไม่เคยให้สัญญาณเตือนล่วงหน้าให้แก่เราเลย

อันดับ 1 เหตุการณ์กราดยิงที่ลาส เวกัส

อันดับที่ 1 ของเหตุการณ์ที่เป็นตัวแทนแห่งความไม่แน่นอน คงไม่มีเหตุการณ์ไหนเกินไปกว่าเหตุการณ์กราดยิงในลาส เวกัส เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 1 ต.ค. 2560 ที่ผ่านมาอย่างแน่นอน

เหตุการณ์เกิดขึ้นภายในเทศกาลดนตรีคันทรีรูต ไนน์ตีวัน ฮาร์วิสต์ ริมถนนลาสเวกัสสตริป ที่เมืองลาส เวกัส รัฐเนวาดา ที่จัดขึ้นเยื้องกับโรงแรม แมนดาเลย์ เบย์ ในขณะที่ฝูงชนกำลังชมดนตรีอยู่กลางแจ้ง จู่ๆ ก็ได้เกิดเหตุยิงกราดลงมาจากฟากฟ้าแบบไม่ยั้ง ส่งผลให้ผู้คนตื่นตระหนกวิ่งหนีกันอย่างไม่คิดชีวิต

บางส่วนถูกยิงล้มลง บางส่วนบาดเจ็บ บางส่วนเสียชีวิต และบางชีวิตก็โอบอุ้มเพื่อบังกระสุนให้คนรัก ก่อนทั้งหมดจะกลายเป็นเหตุโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ เมื่อมีรายงานผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 58 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 500 ราย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ชาวอเมริกาไม่อาจลืม

หลังการสืบสวนพบว่า ผู้ก่อการร้ายคือนาย สตีเฟ่น แพดด็อก พักอยู่ที่ชั้น 32 ของโรงแรมแมนดาเลย์ เบย์ ในมุมที่มองลงมาเห็นลานจัดคอนเสิร์ตพอดิบพอดี ในห้องพักของเขาเต็มไปด้วยอาวุธปืนอีกนับสิบกระบอก อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่มีวันที่จะสามารถล่วงรู้ได้ว่า จุดประสงค์ของสตีเฟ่นในการก่อการร้ายคืออะไรกันแน่ เพราะทันทีที่พบเขาในห้องก็พบว่าเขายิงตัวตายหนีความผิดไปก่อนเสียแล้ว

แม้จะไม่รู้จุดประสงค์ของเขาอย่างชัดเจน แต่บางที สตีเฟ่น แพดด็อก อาจจะไม่ได้มีเป้าหมายอะไรมากไปกว่าแค่ต้องการเห็นโลก “ลุกเป็นไฟ” ก็เป็นได้ ซึ่งสำหรับเราแล้ว ก็ไม่มีทางคาดเดาได้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นวันไหน และเราหรือคนที่เรารักจะเข้าไปอยู่ในกองไฟที่กำลังมอดไหม้นั้น วันใดวันหนึ่งหรือไม่

สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด คือตั้งอยู่บนความไม่ประมาท วางแผนรองรับให้ดี และทำทุกวันให้เป็นวันที่ดีที่สุดของเราเพียงเท่านั้นเอง


ทั้งหมดนี้ คือ 10 เหตุการณ์ที่สุดของความไม่แน่นอนตลอดปี 2560 ที่ผ่านมา ที่บางเหตุการณ์ก็เป็นเรื่องดีที่น่าแปลกประหลาดใจ บางเหตุการณ์ ก็เป็นเรื่องน่าเศร้า และบางเหตุการณ์ก็อาจเป็นเหตุการณ์ช็อคโลก แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวแบบไหน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นบทเรียนให้เราได้ ไม่ว่าจะในวันที่ดีหรือเลวร้าย

เพราะในวันที่ดี เรื่องราวเลวร้ายก็จะช่วยให้เรา “ไม่เหลิง” มีสติ ไม่ประมาท และรอบคอบอยู่เสมอ หรือหากเป็นวันที่แย่ๆ หรือราวน่าเหลือเชื่อในเรื่องดีๆก็อาจจะเป็นกำลังใจเราลุกขึ้นสู้ต่อไป เพราะนั่นคือชีวิตของเรา ที่ต้องเจอทั้งสุขและทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา

คำถามคือ เราเตรียมพร้อม สำหรับวันเหล่านั้นไว้เป็นอย่างดีแล้วหรือยัง?