อภินิหารเงินออมเชื่อว่าผู้ปกครองหลายท่านต้องการเก็บเงินไว้ก้อนหนึ่ง เอาไว้เป็นของขวัญในวันที่ลูกเรียนจบ เพื่อเป็นเงินลงทุนเริ่มต้นในการทำธุรกิจในฝันต่างๆต่อไป แต่จะเก็บเงินไว้ที่ไหนก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเราเข้าใจวิธีการเก็บเงินแบบไหนบ้าง เพราะแต่ละแบบมีลักษณะแตกต่างกัน

บทความนี้จึงขอยกตัวอย่าง 3 ทางเลือกการเก็บเงินที่หลายคนคุ้นเคย คือ เงินฝากออมทรัพย์ การลงทุนและประกันชีวิต ว่าได้ผลลัพธ์แตกต่างกันอย่างไร เพราะมันมีเรื่องของ "ความไม่แน่นอน คือ เราอายุสั้น และความแน่นอน คือ เราอายุยืน" เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โจทย์มีอยู่ว่าเราต้องการเก็บเงินเดือนละ 1,000 บาท ระยะเวลา 20 ปีแล้วให้ของขวัญในวันที่ลูกเรียนจบ เรามาดูกันว่าแต่ละทางเลือกจะมีเงินให้ลูกจำนวนเท่าไหร่

3 ทางเลือกเก็บเงินก้อนให้ลูก

ทางเลือกที่ 1 : บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ดอกเบี้ย 0.5%

เป็นวิธีการเก็บเงินแบบพื้นฐานที่หลายคนเลือกใช้เพราะง่าย ไปที่ธนาคารแล้วเริ่มต้นฝากเงินได้ทันที สิ่งที่จะเกิดขึ้นก่อนที่ลูกจะเรียจบ คือ ความไม่แน่นอน หากเราเสียชีวิตตอนที่ลูกยังเล็ก เงินออมของเราก็จะหยุดอยู่ตรงนั้น เช่น เก็บเงินมา 5 ปีแล้วเสียชีวิตมีเงินให้ลูก 60,743 บาท ทำให้เงินก้อนนี้กลายเป็นเงินของคนอื่นที่จะเข้ามาดูแลลูกของเรา

ส่วนเรื่องความแน่นอน คือ ถ้าเราดูแลตัวเองดีอายุยืน มีเงินก้อนให้ลูกตามที่ตั้งใจไว้แน่นอน 252,354 บาท (ในอนาคตดอกเบี้ยเงินฝาก 0.5% เท่าเดิม) แต่ก่อนที่ลูกจะเรียนจบใช้เวลาประมาณ 20 ปี ถ้าระหว่างนั้นเราเดือดร้อนต้องรีบใช้เงินเร่งด่วน อาจจะถอนเงินก้อนนี้ออกมาใช้ เพราะเงินฝากออมทรัพย์ถอนออกได้ตลอดเวลา ทำให้เสียวินัยการเงิน

ทางเลือกที่ 2 : กองทุนรวมหุ้น ผลตอบแทนเฉลี่ย 6%

เป็นวิธีการที่เริ่มซับซ้อนเพราะเราจะต้องเข้าใจตัวเองว่าสามารถรับความเสี่ยงได้ระดับไหน โดยการทำแบบทดสอบความเสี่ยง รวมถึงมีความรู้เรื่องการลงทุนในกองทุนรวม ไม่หวั่นไหวกับความผันผวนของราคาระยะสั้นที่อาจจะทำให้มีกำไรหรือขาดทุนก็ได้

การลงทุนที่ผลตอบแทน 6% มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ทำให้เงินของเราขาดทุนหรือกำไรก็ได้ ถ้าเกิดความไม่แน่นอนในชีวิตของเราก็จะมีเงินให้ลูกประมาณ 69,770 บาท แต่ถ้าเราอายุยืน เวลา 20 ปีจะเก็บเงินให้ลูกได้ประมาณ 462,040 บาท จำนวนเงินที่จะได้รับไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับราคาของกองทุนรวมในตอนนั้นด้วยจ้า

ทางเลือกที่ 3 : ประกันชีวิตควบการลงทุน ผลตอบแทนเฉลี่ย 6%

เป็นการโอนความเสี่ยงในชีวิตของเราไปให้บริษัทประกันเป็นผู้ดูแล ประกันชีวิตควบการลงทุนเหมาะกับคนที่ต้องการความคุ้มครองสูง คนซื้อควรมีความเข้าใจเรื่องประกันชีวิตและกองทุนรวม เพราะมีความซับซ้อนมากกว่าประกันชีวิตแบบทั่วไป

  • ประกันชีวิตควบการลงทุน : เบี้ยประกันที่จ่ายไปจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ นำไปจ่ายความคุ้มครองชีวิตและนำไปซื้อกองทุนรวมที่เราเลือกเอง 
  • ประกันชีวิตทั่วไป(แบบชั่วระยะเวลา แบบสะสมทรัพย์ แบบตลอดชีพ แบบบำนาญ) บริษัทประกันจะนำเงินไปลงทุนในที่ที่ผลตอบแทนต่ำถึงปานกลาง เพื่อรักษาเงินต้นมาคืนให้เราในอีกหลายสิบปีข้างหน้า

ในภาพนี้เป็นตัวอย่างของคุณแม่อายุ 30 ทำประกันชีวิตควบการลงทุนเบี้ยประกันเดือนละ 1,000 บาท ได้รับความคุ้มครอง 3,000,000 บาท (ศัพท์ประกันจะเรียกว่า ทุนประกัน) ระยะเวลา 20 ปีจะได้รับเงิน 3 กรณี คือ

  1. หากทุพพลภาพ รับเงินก้อนแรก 3,000,000 บาท เพื่อดูแลตัวเองและครอบครัว
  2. หากเสียชีวิต รับเงินก้อน 3,000,000 บาทกับเงินจากกองทุนรวม เพื่อเป็นค่าเทอมส่งให้ลูกเรียนจบตามที่เราตั้งใจไว้
  3. เราอายุยืน ถ้าไม่ต้องการได้รับความคุ้มครองชีวิตอีกต่อไป สามารถทำเรื่องปิดประกันแล้วขายกองทุนรวมออกมาได้ มีเงินก้อนให้ลูกประมาณ 280,000 บาท

ภาพทางเลือกที่ 3 : ประกันชีวิตควบการลงทุน ผลตอบแทนเฉลี่ย 6%

เราเดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่ไปได้หลายวิธี เช่น เดิน วิ่ง ขี่จักรยาน ขับรถยนต์ นั่งรถทัวร์ นั่งรถไฟ นั่งเครื่องบิน ฯลฯ แต่ละวิธีทำให้เราไปถึงเชียงใหม่ได้เหมือนกัน แต่อาจจะใช้เวลาแตกต่างกัน การเก็บเงินให้ลูกอีก 20 ปีข้างหน้าก็เช่นกัน ความจริงยังมีวิธีเก็บเงินให้เลือกอีกเยอะมาก บทความนี้ยกตัวอย่างมา 3 แบบเพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจ เคล็ดลับการเลือกว่าวิธีไหนเหมาะกับเรานั้นอยู่ที่ความรู้ "ยิ่งเรารู้จักผลิตภัณฑ์ทางการเงินมากขึ้น ก็จะมีทางเลือกในการเก็บเงินมากขึ้น"  นะจ๊ะ

--------

PR :  E-book วิธีจัดการเงินขั้นเทพ ฉบับลงมือทำ รายละเอียดสารบัญอ่านได้ที่ https://bit.ly/3eeO33Q

อภินิหารเงินออม