เคยสงสัยกันไหมว่า เวลาที่เราลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวมแบบ DCA เนี่ย มันสามารถใช้วิธีการซื้อได้ 2 วิธี ได้แก่การซื้อเป็นจำนวนเงินและการซื้อเป็นจำนวนหุ้น (ปกติจะอยู่ที่ Board lot ละ 100 หุ้น) ซึ่งเครื่องมือในการซื้อก็แตกต่างกัน สามารถทำได้แบบนี้นะครับ

  1. ใช้บัญชีออมหุ้น : กำหนดเงินที่เราจะนำไปลงทุนแต่ละเดือนให้เท่าๆ กัน แล้วทางบริษัทหลักทรัพย์เขาจะมาตัดเงินเพื่อไปซื้อหุ้น โดยจะได้มาเป็นเศษหุ้นด้วย วิธีการนี้ใช้ได้เหมือนกันกับกองทุนรวมครับ
  2. ซื้อเองหรือซื้อผ่าน Streaming : เราจะกำหนดไว้ด้วยตัวเองเลยว่าในแต่ละเดือนจะซื้อหุ้นจำนวนกี่หน่วย เช่น 100 หน่วย (และทวีคูณที่ 100) เป็น 200 300 เป็นต้น ก็ใช้กับกองทุนรวมได้เหมือนกันแต่ผมว่ากองทุนรวมจะนิยมตัดเป็นจำนวนเงินในข้อ 1 มากกว่านะครับ

ทีนี้เดี๋ยวผมจะลองพิสูจน์กันดูว่า หากเราลงทุนในแบบที่ 1 และแบบที่ 2 เปรียบเทียบกันจะมีความแตกต่างอย่างไรบ้าง โดยผมจะกองทุนดัชนีซักตัวหนึ่งมาเปรียบเทียบดูนะครับ (คิดว่า Index Fund น่าจะยุติธรรมในการพิสูจน์นะ 555) โดยเพื่อความง่ายการพิสูจน์นี้จะเอาแค่ NAV มาคิดนะครับ ไม่เอาราคาซื้อเดี๋ยวงง

เงื่อนไขในการลงทุนมีดังนี้

  • คนที่ 1 Mr. TarKawin :DCA เดือนละ 10,000 บาท
  • คนที่ 2  มาดามฟินนี่ :DCA เดือนละ 1,000 หน่วย
  • ลงทุนทุกวันที่ 5 ของทุกเดือน ถ้าครงวันหยุดจะเลื่อนไปวันที่ 6
  • ระยะเวลาในการซื้อคือ 5 ปี (มกราคม 2555 - ธันวาคม 2559)
  • ราคาหน่วยลงทุนแรกเริ่มจะประมาณ 10 บาท (ช่วงแรกใช้เงินพอๆ กันครับ)

ผลการทดสอบมาดูกันนะครับ

มุมมองในเรื่องของราคาเฉลี่ย

จากกราฟจะเห็นได้ว่า ราคาเฉลี่ยของคนที่ลงทุน ไม่ว่าจะ DCA เป็นจำนวนหน่วย หรือ จำนวนเงิน มีความแตกต่างกันเล็กน้อยในระยะ 5 ปี ในมุมมองส่วนตัวคิดว่ากราฟจะมีความแตกต่างมากขึ้นเรื่อยๆ ได้ในระยะยาวได้ หากหุ้นหรือหน่วยลงทุนยิ่งมีการปรับตัวสูงขึ้น เพราะการกำหนดเป็นหุ้นมันจะไล่ซื้อในระยะที่แพงขึ้นด้วยเงินที่มากขึ้น ในขณะที่การกำหนดเป็นตัวเงินมันจะไม่เพิ่มต้นทุนของเงินที่ลงไป (เป็นการถ่วงน้ำหนัก) ครับ กลับกันในช่วงขาลง การกำหนดเป็นจำนวนหน่วยจะใช้เงินน้อยลงกว่าเดิม ในขณะที่การกำหนดเป็นจำนวนเงินจะซื้อหน่วยลงทุนได้จำนวนสูงขึ้นครับและจะถ่วงน้ำหนักได้มากกว่าในขาลงเช่นเดียวกัน

เงินที่จะต้องเตรียม

การซื้อในแบบจำนวนเงินนั้นจะง่ายกว่าเพราะเรากำหนดจากการวางแผนการเงินได้เลยว่าจะลงทุนเดือนละ 10,000 บาท ไม่ว่าราคาหุ้นหรือหน่วยลงทุนจะเปลี่ยนไปอย่างไรก็ยังคงเงินลงทุนแต่ละเดือนเท่าๆ กัน ในขณะที่คนที่กำหนดเป็นจำนวนหุ้น ซื้อเดือนละ 1,000 หุ้นนั้นจะต้องเตรียมเงินลงทุนที่แตกต่างกันไป

เท่าที่ผมดูแล้วเดือนที่จะต้องเตรียมเงินสูงที่สุดในรอบ 5 ปี ต้องเตรียมเงินไว้ถึง 17,693 บาท (NAV 17.693) และต่ำสุดคือ 10,964.8 บาท (NAV 10.9648) ความแตกต่างระหว่างสูงสุดและต่ำสุดนั้นประมาณ 6 พันกว่าบาทเลยนะครับ แน่นอนว่าถ้าเราเงินเดือนอยู่ที่ 30,000 บาท แล้วแบ่งมาออมตั้งเป้าว่าเดือนละ 10,000 บาท ถ้าออมเป็นจำนวนหน่วยอาจจะมีบางเดือนกระอักเลือดได้เพราะใช้ตังเกินครึ่งของเงินเดือนเลย

จากที่คำนวณมาในระยะ 5 ปี Tar Kawin จะมีเงินต้น 600,000 บาท และ มาดามฟินนี่จะมีเงินต้น 912,454.5 แน่นอนว่าถ้าแข่งกันเก็บตังแบบนี้ ในหุ้นหรือกองทุนรวมที่มันเติบโตเนี่ย มาดามเขาจะสามารถเร่งอัตราการเก็บเงินให้ได้มากกว่าอยู่แล้วครับ แต่ข้อจำกัดก็คือถ้ามาดามดันไปออมหุ้นที่ราคา 100 บาทขึ้นไปแล้วมันดันโตไป 200 - 300 บาทเนี่ย มาดามต้องหาเงินมาออมกันตัวเป็นเกลียวเลยทีเดียว

ผลตอบแทนจากการลงทุน

จากตัวเลขที่ผมใช้คอมพิวเตอร์ประมวลเนี่ย Port ของ Tar Kawin ณ ปลายปี 2559 จะมีมูลค่าอยู่ที่ 677,921.97 ถ้าคิดง่ายๆ ด้วยการนำมาลบต้นทุน 600,000 บาท จะได้กำไร 77,921.97 บาท (12.98%)

ในส่วนผลตอบแทนของมาดามฟินนี่ Port ของนางจะซื้อเดือนละ 1,000 หน่วย รวมทั้งสิน 5 ปี คือ 60,000 หน่วย ณ ปลายปี 2559 จะมีมูลค่าอยู่ที่ 1,018,314 บาท โดยมีต้นทุนอยู่ที่ 912,454.5 กำไรที่ได้รับคือ 105,859.5 บาท (11.60%)

จากการพิสูจน์ของผมแล้วก็พบว่าจริงๆ การลงทุนในรูปแบบ DCA ด้วยการซื้อเป็นจำนวนหุ้นเท่าๆ กัน หรือ ลงทุนด้วยการซื้อเป็นจำนวนเงินเท่าๆ กันในแต่ละเดือน โอกาสได้รับผลตอบแทนนั้นจะมีความแตกต่างกันไปบ้างจากโครงสร้างระบบการซื้อ

ในระยะยาวถ้าเราเชื่อว่าหุ้นและกองทุนรวมจะมีการเติบโต การซื้อแบบใช้จำนวนหุ้นในหุ้นที่เติบโตนั้นจะมีโอกาสได้ผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต่ำกว่า แต่มูลค่าพอร์ตจะสูงกว่า ในขณะที่ซื้อด้วยจำนวนเงิน จะบริหารเงินได้ง่ายกว่า และลดความเสี่ยงในช่วงขึ้นได้มากกว่าและเพิ่มโอกาสในการซื้อช่วงราคาลงได้มากกว่า

สุดท้ายใครสนใจวิธีการซื้อแบบไหนก็ลองเลือกตามแนวทางที่ตัวเองสะดวก วางแผนได้ง่าย หรือจะนำมาผสมผสานก็ได้นะครับ แล้วแต่เลย กลยุทธ์ไหนที่ได้กำไรและตรงจริตของเราเองนี่ล่ะดีที่สุด

หมายเหตุ อันนี้เป็นแค่ตัวอย่างการทดลองเท่านั้นเพื่อให้เห็นภาพเฉพาะแค่ในบทความนี้นะครับ ไม่สามารถนำไปอ้างอิงกับการลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวมอื่นๆว่าจะเป็นแบบนี้ได้ 100% เพราะการลงทุนในทรัพย์สินที่ไม่เหมือนกัน เวลาที่แตกต่างกันมีโอกาสเกินความเสี่ยงและผลในเรื่องราคาที่ไม่เหมือนกันครับ

TarKawin