สิ่งที่นักลงทุนและนักออมหุ้นแบบ DCA จะถูกตั้งคำถามเยอะมากๆก็คือ  "มันได้ผลจริงไหม" และ "ทำอย่างไรเมื่อหุ้นขึ้นแรงๆและหุ้นลงแรงๆ" คำถามเหล่านี้จะถูกถามอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นเวลาใดๆก็ตาม หุ้นขึ้นก็จะถูกถาม หุ้นลงก็จะถูกถาม แต่ถูกถามน้อยหน่อยในช่วงที่หุ้นผันผวนเพราะราคาไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก เราก็จะได้หุ้นที่ไม่ได้ต่างจากเดิม

ตัวอย่างคำถามครับ....

"ช่วงหุ้นตกเยอะๆ สมมติเรากลับไปอยู่ในช่วงต้มย่ำกุ้งมันลงมาจาก 1,700 จุด ทิ้งดิ่งลงมาเหลือแค่ 200 จุด จะทำอย่างไร?"

"ช่วงหุ้นขึ้นเยอะๆ นี่ลองดูจากไม่กี่ปีที่มันขึ้นมาสิ นี่มันมาจาก 300 จุดไปถึง 1,500 จุดแล้วนะ หุ้นมันไม่แพงไปหรอ? แพงจะตาย"

คุณสังเกตไหมว่านักลงทุนส่วนใหญ่ทำไมหุ้นขึ้นก็เป็นทุกข์ หุ้นลงก็เป็นทุกข์ได้? คำตอบก็คือเราเอาตัวเองเข้าไปผูกติดกับราคาซื้อขายในเรื่องของ จำนวนเงินที่จะต้องจ่ายเมื่อเราต้องซื้อหุ้นแพง และ จำนวนเงินที่เราจะต้องเสียและขาดทุนไปเมื่อมูลค่าหุ้นที่เราซื้ออยู่มันลดลง ซึ่งนั่นมันหนีไม่พ้นกับการเล่นกับราคาหุ้น ซึ่งต้องกลับไปพิจารณาเริ่มกันใหม่เลยว่า "คุณลงทุนเพื่ออะไร?" และ "จำกัดความเสี่ยงในเรื่องการลงทุนอย่างไรได้บ้าง?"

การเป็นนักออมหุ้น DCA นั้น เป้าหมายของเราคือการสร้างกำไรสูงสุดหรือไม่? ผมตอบได้เลยว่า มีเครื่องมือที่ดีกว่านั้นคือการซื้อแบบ Technical เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้นที่ขึ้นลงได้อย่างไม่จำกัด หรือ การลงทุนด้วยการดูพื้นฐานมูลค่าเทียบกับราคาที่ซื้อขายกันในตลาด หากมองว่าแพงก็ขาย หากมองว่าถูกก็ซื้อ แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดๆก็ตาม คุณก็ยังหนีไม่พ้นกับการเข้าไปผัวพันในราคาหุ้นที่ขึ้นๆลงๆอยู่ดีโดยที่ตัวเราเองก็ไม่สามารถตอบได้ว่า พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ถ้าเกิดวิกฤตพรุ่งนี้มันจะลงขนาดไหน 1,000 จุดเลยไหม ถ้าไม่ถึงล่ะ ลงไปแค่ 20 จุด เราขายหุ้นไปแล้วงี้ไม่ขายหมูแย่หรือ? ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของนักลงทุนแต่ละคนว่ามีมุมมองอย่างไรและตัดสินใจอย่างไรในการลงทุนของเขา ซึ่งแน่นอนครับว่าคนมีประสบการณ์เยอะๆย่อมมีโอกาสที่จะนิ่งและตัดสินใจได้ดีกว่ามือใหม่ และหลายๆครั้งบางคนทำเปรียบเทียบวิธีการกันแล้วพบว่า ผลตอบแทน DCA กลับมากกว่าการซื้อแบบครั้งเดียวซะอีก

เมื่อหุ้นมีพื้นฐานการเติบโตในตัวกิจการและการทำกำไรมากขึ้น แน่นอนครับคุณลงทุนสะสมมาเรื่อยๆย่อมได้เปรียบ หลายๆครั้งผมมักจะได้ยินคำถามว่า มันแพงไปแล้ว กล้าซื้อได้อย่างไร รอมันตกลงมาก่อนไหม? อันนี้เป็นกรณีที่เกิดขึ้นจริงของหุ้นหลายๆตัวที่เมื่อมีการเติบโตไปแล้ว ต่อให้เกิดวิกฤตอย่างไร มันก็ไม่ลงมาในพื้นฐานเดิมให้คุณพบได้ครับ และคุณจะรู้อย่างไรว่ามันจะตกมาแค่ไหน และคุณจะได้ซื้อในราคาต่ำสุดหรือเปล่า? และถ้าราคาต่ำสุดไม่ได้ลงมาต่ำกว่าต้นทุนที่เราสะสมมาด้วยการทำ DCA ละ สิ่งที่คุณจะได้รับคืออะไร? ผมตอบได้เลยว่ามันคือ "ดอกเบี้ยเงินฝากในการรอคอย" แต่นักลงทุน DCA จะได้รับอย่างต่อเนื่องคือ "การเพิ่มขึ้นของมูลค่าหุ้นตามพื้นฐานพร้อมๆกับเงินปันผลที่ได้รับมากขึ้น" นอกจากคุณจะเห็นตั้งแต่ Day 1 แล้วลงทุนไปเลยโดยไม่ได้สนใจว่ามันแพงไปแล้วหรือไม่ มันก็ทำให้คุณสร้างผลตอบแทนได้มากกว่า DCA ครับ แต่ในทางปฏิบัติอยู่ที่แต่ละคนจะตัดสินใจ

จากภาพดังกล่าวแน่นอนครับว่าการลงทุนไปเลยในหุ้นที่มีการเติบโตเรื่อยๆ มีสะดุดบ้าง สะดุดซัก 3-4 ปีก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร ทั้งหมดย่อมไม่มีปัญหากับระยะยาวของแผนธุรกิจดังกล่าว หลายๆคนก็เลยตั้งคำถามว่า แล้วถ้ามันแย่เป็น 10-20 ปีจะทำอย่างไร? จริงๆเราสำรวจจากตัวเองได้ครับว่าชีวิตประจำวันเรายังทำมาหากินได้หรือเปล่า ถ้าเรายังเดินเข้าร้านขายของ ของแพงขึ้นเรื่อยๆ เราทำงานมีเงินเดือนมากขึ้นเพื่อใช้จ่าย ไม่ใช่แบบเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 วิกฤตต่างๆ มันย่อมถูกแก้ปัญหาอยู่แล้วทั้งในแง่ของการขับเคลื่อนในนโยบายรัฐบาลและการเอาตัวรอดของภาคเอกชน ยกเว้ยบริษัทที่เราถือมันจะแย่เองไป 10-20 ปีครับ อันนั้นแนะนำให้ไปลงทุนกับธุรกิจอื่น

เพราะฉะนั้นแล้วผมเองมองว่า แนวโน้มตลาดก็เรื่องหนึ่ง พื้นฐานทางธุรกิจก็เรื่องหนึ่ง ผมเชื่อว่าถ้าพูดถึงราคาหุ้น ทุกคนอยากจะซื้อของที่ถูกเสมอและอยากจะขายในจุดที่แพงเสมอ การลงทุนแบบ DCA มันจะมาช่วยตอบโจทย์ตรงนี้ให้ หุ้นถูกก็ซื้อหุ้นแพงก็ซื้อ คิดออกมาเป็นการเฉลี่ยต้นทุนและสุดท้ายมันจะไม่ได้อิงเรื่อง Fund Flow P/BV P/E ใดๆทั้งสิ้น ยังไงในระยะยาหากธุรกิจมันเติบโตไปเราก็จะเติบโตไปกับมันได้

เป้าหมายการลงทุนของคุณคืออะไร?

ถ้าเพื่ออิสรภาพทางการเงิน ผมเชื่อว่าหุ้นที่เติบโตดีและจ่ายเงินปันผลให้เราอย่างสม่ำเสมอและมีอัตราการปันผลมากขึ้นเรื่อยๆก็จะเป็นคำตอบให้กับคุณได้ ซึ่งมันก็กลับมาสู่เรื่องของการเลือกหุ้นนั่นล่ะ วิธีคิดของผมมันก็ไม่ได้ยากอะไร แค่คุณต้องพยามมองให้ออกว่าธุรกิจที่มันจะอยู่ยาวๆและเติบโตดีนั้นเป็นอย่างลักษณะไหน?

1. หุ้นบางตัวเติบโตดีมาก

2. หุ้นบางตัวเติบโตดีและมีความได้เปรียบทางการแข่งขันต่อคู่แข่งอื่นๆ

3. หุ้นบางตัวเติบโตดี มีความได้เปรียบทางการแข่งขัน และตลาดนั้นใหญ่พอที่จะสร้างมูลค่าทางธุรกิจจนผู้ถือหุ้นสามารถมีอิสรภาพทางการเงินได้

4. หุ้นบางตัวไม่ดีเลย แต่นักลงทุนก็ชอบลงทุนเพราะคาดหวังว่ามันจะดีและเราจะรวยเร็วๆแบบ Ceiling 1 เดือนติดทุกวันเลยยยยยยย

เมื่อถือระยะยาวคุณก็ได้ปันผลมากขึ้น อยากได้มากกว่าเดิมก็ต้องลงทุนมากขึ้นและเวลาของการขยายตัวทางกิจการมันจะสร้างผลตอบแทนให้คุณเองครับ แต่ผมมองในแง่ดีอย่างเดียวไม่ได้หรอก ตัวนักลงทุนเองก็ต้องติดตามความเปลี่ยนแปลงไปของธุรกิจที่คุณลงทุนอยู่อย่างต่