สำหรับนักลงทุนผู้เริ่มต้น การลงทุนในกองทุนรวมเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เพราะการลงทุนทางอ้อมผ่านกองทุนรวม เราไม่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าจะต้องบริหารเงินลงทุนเพื่อลงทุนในหุ้นตัวไหน เท่าไหร่ หรือซื้อตราสารหนี้ในสัดส่วนเท่าไหร่ เพื่อลดความเสี่ยงโดยตรง

ปล่อยให้เป็นหน้าที่การสร้างผลตอบแทนเป็นของผู้บริหารกองทุนรวมก็พอ

สิ่งที่จะช่วยประเมินความสามารถของผู้บริหารกองทุนก็คือผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง หากทุกปี ผู้บริหารกองทุนสามารถทำผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนีชี้วัด (Benchmark) ก็ช่วยให้นักลงทุนมั่นใจได้ว่ากองทุนนี้มีการบริหารจัดการที่ดีพอ

หน้าที่นักลงทุนอย่างเรา ทำแค่ศึกษารายละเอียดของกองทุนรวม จัดสัดส่วนเงินทั้งหมด แล้วนำไปลงทุนในกองทุนรวมตามนโยบายสินทรัพย์ที่เราเล็งไว้ก็พอแล้ว ไม่ต้องยุ่งยากอะไรมากมาย

แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่นักลงทุนหลายคนหนักใจ นั่นคือ ราคาซื้อกองทุนรวมจะเป็นตัวกำหนดผลตอบแทนในอนาคต เพราะยิ่งเราซื้อกองทุนได้ถูกมากเท่าไหร่ เมื่อมูลค่า NAV ของกองทุนรวมปรับตัวสูงขึ้นไป เราก็ยิ่งได้ผลตอบแทนมากเท่านั้น

สำหรับผมการประเมินมูลค่าของกองทุนรวมทำได้ยากกว่าการประเมินมูลค่าในหุ้นรายตัว

เพราะหุ้นก็คือบริษัท หากเราเลือกลงทุนในบริษัทที่มีพื้นฐานมั่นคง มีความสามารถในการทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ มันจะช่วยให้เราตั้งสมมติฐานและประเมินมูลค่าของหุ้นได้ง่ายขึ้น

แต่กองทุนรวมไม่เป็นอย่างนั้น ต่อให้เรารู้ว่ากองทุนรวมเคยทำผลตอบแทนได้ดีแค่ไหน แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่ามันถูกหรือแพงอย่างไร หรือควรซื้อที่ NAV เท่าไหร่? ทำได้เพียงคำนวณว่าที่ NAV ปัจจุบันนั้นถูกหรือแพง แค่นี้ก็ช่วยให้เราตัดสินใจได้มากขึ้นแล้ว

โดยใช้หลักการเดียวกับการหาค่า P/E เพื่อราคาของหุ้น โดยการนำ NAV ต่อหน่วยของกองทุนรวม มาหารด้วย Return เฉลี่ยต่อปีที่กองทุนรวมนั้นทำได้ เพื่อวัดมูลค่าว่ากองทุนรวมที่เราสนใจอยู่ในตอนนี้มันถูกหรือแพงเกินไปเมื่อเทียบกับ...

1. กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนที่ใกล้เคียงกัน

2. NAV/ Return เฉลี่ยย้อนหลัง

การเทียบกองทุนรวมที่มีนโยบายเดียวกันนอกจากจะดูเรื่องราคาว่าถูกหรือแพงแล้ว ให้ดูปัจจัยอื่นๆทั้งหมดโดยรวมก่อน (จะพูดถึงในตอนท้าย)

หากทั้งหมดมีตัวเลขที่ใกล้เคียงกันให้ใช้ NAV/Return เพื่อวัดดูว่าในตอนนี้กองทุนรวมที่เราสนใจอยู่ตัวไหนถูกกว่ากัน เช่น

NAV ของ กองทุนรวมในหุ้นระยะยาว A คือ 12.68 บาทต่อหน่วย
NAV ของ กองทุนรวมในหุ้นระยะยาว B คือ 15.08 บาทต่อหน่วย
กองทุนรวมในหุ้นระยะยาว A ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง 10.14%
กองทุนรวมในหุ้นระยะยาว B ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง 12.45%

ถ้าเราหยิบด้านราคามาวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจซื้อเพียงอย่างเดียว เราอาจจะเลือกซื้อกองทุน A เพราะถูกกว่าตั้ง 2.4 บาท แต่เมื่อนำผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลังมาร่วมคำนวณด้วย จะเห็นชัดเลยว่า...

กองทุนรวม A มีค่า NAV/Return ที่ 1.2505
กองทุนรวม B มีค่า NAV/Return ที่ 1.2112

หมายความว่าทุกๆ ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น 1 หน่วย กองทุนรวม A ต้องใช้เงิน 1.2505 เท่าในการซื้อ และ กองทุนรวม B ต้องใช้เงิน 1.2112 เท่าในการซื้อ ซึ่งแปลว่า..กองทุนรวม A ใช้เงินมากกว่านั่นเอง

หากวันใดที่ค่า NAV/Return ของกองทุนรวม B ปรับตัวสูงขึ้นกว่ากองทุนรวม A แล้ว สามารถอนุมานได้ว่ากองทุนรวม B ในเวลานั้นแพงเกินไปแล้วเมื่อเทียบกับราคาในอดีต และกองทุนรวม A จะกลับมาน่าสนใจกว่าในแง่ของราคาเทียบกับผลการดำเนินงาน

และอีกวิธีหนึ่งคือการเปรียบ NAV/Return เฉลี่ยในอดีตนั่นเอง วิธีนี้เก็คล้ายกับที่อธิบายไปข้างต้น ถ้าค่านี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตก็แปลว่าตอนนี้กองทุนรวมซื้อขายกันที่ราคาสูงกว่าในอดีตนั่นเอง

แต่สิ่งสำคัญกว่าในการเลือกซื้อกองทุนรวมไม่ใช่ว่ามันถูกหรือแพง การเลือกลงทุนในกองทุนรวมควรพิจารณาจากปัจจัยอื่นก่อนทั้ง ผลตอบแทนเฉลี่ยในอดีต ค่าธรรมเนียมในการบริหาร ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(ค่าความผันผวน) ขนาด ผู้จัดการกองทุนรวม อายุของกองทุนรวม เป็นต้น ซึ่งมีความสำคัญมากกว่าราคาที่จะซื้อ

เพราะต่อให้ซื้อของได้ถูกมากแค่ไหน...แต่ของไร้คุณภาพ

มันก็ไม่คุ้มกับเม็ดเงินที่เสียไปเลยแม้แต่น้อย