สวัสดีครับ นักลงทุนทุกท่าน กลับมาพบกับผมอีกครั้งในคลินิกกองทุนแห่งนี้ครับ ช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่การตลาดทุนค่อนข้างจะผันผวน ทำให้ ลงทุนได้อย่างลำบากพอสมควร แม้กระทั่งผู้ลงทุนที่มีประสบการณ์หลายๆ ท่าน ก็ยังมีคำบ่นออกมาให้เห็นไม่น้อยเลยครับ

ถึงแม้ว่าตลาดหุ้น ตลาดการลงทุนจะผันผวนอย่างไร แต่ในช่วงเวลาแบบนี้ก็มักจะมีโอกาสแฝงอยู่เสมอครับ นักลงทุนเองก็ควรที่จะเริ่มพิจารณา หาสินทรัพย์เพื่อการลงทุนในระยะยาวรวมถึงทบทวนแผนการลงทุนของเราไปด้วย เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะลงทุนเพิ่มเติมนั่นเองครับ

ส่วนการเลือกสินทรัพย์เพื่อการลงทุนระยะยาวนั้น หลายๆ คนมักจะมีความคิดว่าการเลือกสินทรัพย์ลงทุนระยะยาวไม่ได้เป็นเรื่องยาก แค่เลือกบริษัทฯ ที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน หรือมีความแข็งแกร่งทางธุรกิจ เป็นเจ้าตลาด แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอ เพราะว่าบริษัทเหล่านี้มีความมั่งคงไม่ล้มหายตายจากไปอย่างง่ายๆ

ในสมัยก่อน ผมเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกันครับ ดังนั้น พอร์ตการลงทุนของผมเองส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นบริษัทฯ ยักษ์ใหญ่มีพื้นฐานที่ดี แต่หลังจากที่ผมมีโอกาสได้ทำงานเป็นที่ปรึกษาร่วมกับบริษัทฯ Start-up หลายๆ บริษัท ทำให้ผมคิดว่าจริงๆ แล้ว หากเราอยากที่จะลงทุนระยะยาวอย่างสบายใจแล้วละก็ เราไม่จำเป็นต้องลงทุนในบริษัท ฯ ใหญ่ๆ เท่านั้นครับ แต่กลับกลายเป็นว่าบริษัทที่น่าสนใจ ที่เราควรลงทุนระยะยาวด้วย ควรที่จะเป็นบริษัทฯ ที่สามารถปรับตัวได้เร็วหรือเป็นบริษัทฯ ที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ ทดแทนธุรกิจแบบเดิมๆ ได้

หลายๆ คนคงคิดว่า ทำไมธุรกิจแบบดั้งเดิมจะไปไม่รอดละ เพราะว่าสุดท้ายแล้วผู้บริโภคเองก็ต้องใช้สินค้าแบบเดิมๆ มันไม่ได้เปลี่ยนไปมากหรอก ผมอยากจะบอกว่าส่วนหนึ่งใช่ แต่เราจะเห็นได้ว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไป อาจไม่ใช่แค่การเปลี่ยนสินค้าที่ใช่อยู่ แต่เปลี่ยนช่องทางในการซื้อแทน อะไรที่เร็วกว่า สะดวกกว่า เข้าใจ-โดนใจผู้บริโภคมากกว่า จะเป็นธุรกิจที่อยู่รอดในระยะยาวได้

ส่วนธุรกิจที่ไม่มีการปรับตัว ก็จะค่อยๆ หมดความสำคัญ หรือมีความสามารถในการแข่งขันลดลงไปเรื่อยๆ หรือเรียกง่ายๆ ว่าถูก ‘Disrupt’ ไปนั่นเองครับ

แน่นอนว่ายังไม่รวมถึง สินค้าใหม่ๆ ที่เป็นนวัตกรรมที่สามารถทดแทนของเดิมได้อีกนะครับ ซึ่งผมต้องบอกว่า บริษัทใหญ่ๆ หากไม่ปรับตัวตามละก็ อยู่ยากแน่ๆ ครับ

ซึ่งกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มของการเกิดบริษัทที่ Disrupt ก็มีอยู่หลายอย่างครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง พลังงานทดแทน พลังงานทางเลือก โดยเฉพาะระบบการเก็บพลังงานเพื่อใช้กับอุปกรณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวันครับ

นอกจากนี้กลุ่มอุตสาหกรรมอีกหลายๆ กลุ่มก็มีความน่าสนใจเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น VR (Virtual Reality) ที่นอกเหนือจากที่จะใช้เพื่อความบันเทิงต่าง ๆ แล้วยังมีการพัฒนาเพื่อนำไปใช้ในรูปแบบอื่นๆด้วย ยกตัวอย่างเช่น การช็อปปิ้ง จากเดิมที่เราต้องเดินทางเพื่อไปจับจ่ายซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าอนาคตเพียงแค่สวม VR อยู่ที่บ้านก็สามารถช็อปปิ้งอยู่บ้าน แต่สเหมือนอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าจริง สะดวกสบายแค่ปลายนิ้วจริงๆ

ในอนาคตนั้น กลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มจะโดนโมเดลธุรกิจใหม่มา Disrupt นั้นจะมีอุตสาหกรรมหลักๆ ดังนี้ครับ

1. Lifestyle Disrupt

เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ทุกอย่างสะดวกสบายแค่ปลายนิ้ว ทำให้เดี๋ยวนี้เรามักจะเห็นคนทั่วไปดูหนังที่บ้านกันมากขึ้น แน่นอนมีบริษัทที่เห็นโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค เช่น Netflix นั่นเองครับ

ซึ่ง Netflix เองก็มีหนังที่ฉายเฉพาะบนระบบเท่านั้น เรียกได้ว่าเริ่มมี Contents เป็นของตัวเอง แน่นอนว่าจะเข้ามา Disrupt โรงหนังบางส่วน โดยในยุคหน้า คนบางกลุ่มอาจเลือกนอนดูหนังอยู่ที่บ้านก็เป็นไปได้ครับ ซึ่งตอนนี้ระบบของ Netflix นั้น มีคนที่ Subscribe มากกว่าระบบ Cable TV แบบเดิมๆ ไปเรียบร้อยแล้วครับ

2. Digital Economy

ยุคนี้การใช้แฟลชไดร์ทเก็บข้อมูลคงดูเชยไปแล้ว เหมือนยุคนึงที่เราใช้ CD ในการเก็บข้อมูลต่างๆ เพราะตอนนี้มีระบบ Cloud ที่สามารถเก็บข้อมูลหรือแม้กระทั่งยกคอมพิวเตอร์ทั้งเครื่องไปไว้บนระบบออนไลน์ก็ยังทำได้ อย่างที่ผมพิมพ์บทความอยู่นี้ก็ใช้ Google Doc ในการพิมพ์เพื่อส่งต้นฉบับเช่นกันครับ

สำหรับเด็กรุ่นใหม่ๆ คงไม่มีโอกาสได้เข้าไปทำธุรกรรมในธนาคารซักเท่าไหร่ หากพูดถึงธนาคาร ผมเชื่อว่าเขาจะนึกถึงมือถือก่อนเป็นอันดับแรกๆ เพราะว่าตอนนี้เราไม่ต้องไปธนาคารก็ทำธุรกรรมได้เกือบทั้งหมดแล้ว จนผมเองก็ยังลืมไปแล้วว่า ผมไปธนาคารครั้งล่าสุดเมื่อไหร่กันแน่ นี่แหละครับ คือ Digital Economy ซึ่งผมคงไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากมาย เพราะว่าตอนนี้ทุกคนได้ใช้มันอยู่ในปัจจุบันแล้วนั่นเองครับ

3. กลุ่มพลังงานทดแทน

เรื่องพลังงานเองก็ถือเป็นเรื่องระดับโลกที่จะมีการเปลี่ยนแปลงเหมือนกันครับ เนื่องจากว่าของเกือบทุกอย่างที่เราใช้ในชีวิตประจำวันเองก็ต้องพึ่งพาพลังงานเกือบทั้งสิ้นครับ ดังนั้น เมื่อมีความต้องการสูง และด้วยเทคโนโลยีแบบเดิมๆ นั้น อาจจะไม่ตอบสนองต่อความต้องการอย่างพวกเราได้เพียงพอ จึงเป็นเรื่องที่ใครหลายๆ คนพยายามเปลี่ยนแปลง หรือคิดค้นและพัฒนาสิ่งใหม่ๆ เข้ามา Disrupt สิ่งเดิมๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การผลิตรถยนต์ EV (Electric Vehicle) ขึ้นมา Disrupt รถที่ใช้น้ำมันแทนนั่นเองครับ ดังนั้น การลงทุนกับกลุ่มที่เป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับพลังงานเอง ก็ยังคงมีความน่าสนใจไม่น้อยเลยครับ

หากนักลงทุนต้องการลงทุนระยะยาวแล้วละก็ ผมแนะนำให้มองหากองทุนที่ลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้ เพื่อที่จะได้มีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี ที่สำคัญคือ มีการกระจายความเสี่ยงจากการที่ถือเพียงแค่กองทุนหุ้นไทยธรรมดาที่อาจจะไม่ได้มีหุ้นของบริษัทที่มีนวัตกรรมมากเท่าไหร่นัก

ถ้าเราไปดูหุ้นในกลุ่มธุรกิจ Disrupt เหล่านี้ก็จะพบว่ามีการเติบโต ที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว แน่นอนว่าบริษัทเหล่านี้ได้แซงหน้าธุรกิจแบบเดิม ไปเรียบร้อยแล้วด้วยครับ

คราวนี้เรามาดูกองทุนที่ผมมาแนะนำในวันนี้กันดีกว่าครับ นั่นก็คือ กองทุน…..

กองทุนเปิด ASP-DISRUPTRMF !!!!

นักลงทุนบางท่านอาจจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว เนื่องจากอาจจะได้ลงทุนกับกองทุน ASP-Disruptive Opportunities Fund ไปก่อนหน้านี้ครับ

ผมเคยคิดว่ากองทุนนี้เป็นกองทุนหนึ่งที่ควรจะทำเป็นกองทุน RMF มากๆ ซึ่งในที่สุดก็ออกมาจริงๆ เนื่องจากการลงทุนในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี แบบนี้มีความผันผวนสูงมาก แต่ถ้าหากลงทุนแบบทยอยลงทุนในระยะยาวๆๆๆ ได้แล้วละก็ จะมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดี และมีความเสี่ยงน้อยลงไปด้วยครับ ซึ่งส่วนประกอบของกองทุนนี้ก็จะมีสัดส่วนดังนี้ครับ คือ

0-40% จะลงทุนในกองทุน AXA World Funds Framlington Digital Economy

0-30% จะลงทุนใน ETF (กองทุนที่ขึ้นลงตามดัชนี กลุ่มธุรกิจ New Business Model)

0-30% จะลงทุนในตราสารทุน หรือว่าหุ้นทั่วโลก ที่เน้นธุรกิจ New Business Model เช่นกัน

นักลงทุนอาจจะสงสัยกันว่า ทำไมต้องมีสัดส่วน กองทุน ETF และเลือกหุ้นเองด้วย ทำไมไม่ลงทุนกับกองทุน AXA ไปเลยเพียงกองทุนเดียว เหมือนกับ บลจ. อื่นๆ ที่ลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีด้วยกองทุนแบบ Feeder Fund (ลงทุนในกองทุนต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว)

ทั้งนี้ก็เพราะว่า กองทุนต้องการสร้างความยืดหยุ่นในการลงทุนที่สามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนได้ทันต่อสถานการณ์นั่นเองครับ อีกประการก็เพื่อที่จะได้กระจายการลงทุนไปให้ครบ ตามแนวทางการลงทุนทั้ง 3 แนวทางโดย

  1. กองทุน AXA Framlington Digital Economy จะเป็นตัวแทนของ Theme Digital Economy
  2. ETF ใช้เพื่อลงทุนใน Theme Future Transportation และ Digital Economy 
  3. การลงทุนในหุ้นตรง ใช้เพื่อลงทุนใน Theme Life Style Disruption รวมถึงการลงทุนในหุ้น Theme อื่นๆ ที่ทางทีมงาน ผู้จัดการกองทุนคิดว่ามีพื้นฐานและราคาที่น่าสนใจนั่นเองครับ

พูดง่ายๆ ว่ามีกระจายที่เหมาะสม และจับจังหวะการลงทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้ดีขึ้นนั่นเองครับ

โดยกองทุนจะเน้นเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมในการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนโดยให้น้ำหนักลงทุน ประมาณ 40-50% ในกลุ่ม Digital Economy เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีจำนวนหุ้นที่สามารถลงทุนได้ ค่อนข้างจะกว้างกว่ากลุ่มอื่นๆ ครับ โดยที่เหลือก็จะแบ่งสัดส่วนกันไปเท่าๆ กัน ระหว่าง Future Transportation กับ Life Style Disruption ในสัดส่วนที่เท่ากันครับ

และต้องบอกว่าแนวทางการคัดเลือกการลงทุนนั้น ผมว่าค่อนข้างที่จะน่าสนใจมากๆ เนื่องจากว่ากองทุนนี้มีวิธีการคัดเลือกที่ละเอียดและมีกระบวนการที่ชัดเจน โดยเริ่มจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเป็นหลักครับ หรือที่เราเรียกว่า “Bottom up” ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้หุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตได้ในระยะยาว

นอกจากนี้ด้วยวิธีการเลือกหุ้นจากพื้นฐานที่ดี ก็จะเหมือนกับการหาเพชรในตมไปในตัวครับ เพราะว่าบริษัทฯ ใหม่ๆ เหล่านี้ ส่วนใหญ่แล้วก็จะเริ่มจากปัญหาที่เกิดขึ้นจริง จากนั้นก็พัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ของลูกค้ามากกว่าจะดูสภาพเศรษฐกิจก่อนว่าจะผลิตอะไรเพื่อให้ขายได้ครับ ดังน้ัน วิธีการนี้จึงเป็นวิธีที่ดีในการเลือกบริษัทเหล่านี้เข้ากองทุนไปด้วย

ส่วนผลตอบแทนของกองทุน หากดูย้อนหลังไปจากกองทุนที่มีมาก่อนหน้านี้คือ กองทุน ASP-DISRUPT จะเห็นได้ว่ากองทุนเองก็ทำผลตอบแทนได้ค่อนข้างดีทีเดียวครับ ซึ่งนักลงทุนสามารถลงทุนในระยะยาวได้อย่างสบายใจครับ

ส่วนผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนนี้ ก็จะเห็นได้ว่าผลตอบแทนค่อนข้างจะสูงกว่า Benchmark  อยู่พอสมควรครับ ดังนั้น นักลงทุนเองต้องรับความเสี่ยงในระยะสั้นให้ได้ และต้องมองการลงทุนกับกองทุนนี้เป็นระยะยาวนะครับ ดังนั้น หากใครที่ต้องการลดภาษี และลงทุนระยะยาวอยู่แล้ว กองทุนนี้ที่เป็นรูปแบบ RMF จึงเหมาะมากครับ

ส่วนสัดส่วนการลงทุนในปัจจุบันนั้น กองทุนจะเน้นไปที่การลงทุนในกลุ่ม Digital Economy ครับประมาณ 50% และส่วนที่เหลือจะเป็น Future Transportation และ Lifestyle อีกอย่างละครึ่งของส่วนที่เหลือครับ

โดยบริษัท ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่น่าจะลงทุนด้วยของกองทุนนี้ก็ น่าจะเป็นกลุ่มบริษัทที่เราค่อนข้างจะคุ้นเคยเหล่านี้ครับ เช่น Amazon, Netflix, Tencent, Tesla, etc...

โดยสรุป ผมคิดว่ากองทุนนี้ถือว่าเป็นกองทุนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะที่ออกมาในรูปแบบของกองทุน RMF ที่เน้นการลงทุนเพื่อการเกษียณโดยเฉพาะครับ นอกจากนี้ยังได้ลดหย่อนภาษี รวมถึงได้ลงทุนกับบริษัทที่มีอนาคต สามารถอยู่รอดในระยะยาวได้ ซึ่งผมอยากให้นักลงทุนนึกถึง บริษัทใหญ่ๆ ในบ้านเรา เช่น บริษัทค้าปลีก โรงพยาบาล หรือ บริษัทปูนซีเมนต์แห่งหนึ่ง ซึ่งในสมัยก่อนก็เคยเป็นบริษัทฯ เล็ก และค่อยๆ เติบโตขึ้นมา

การเริ่มลงทุนในกองทุนนี้ก็เหมือนกับว่าเรากำลังจะเริ่มลงทุนกับบริษัทเล็กๆ เหล่านั้น ซึ่งในอนาคต อาจจะกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่จะสร้างผลตอบแทนให้กับเราได้ใช้เก็บกินในยามเกษียณของเราได้อย่างสบายใจครับ

วันนี้ขอลาไปก่อนนะครับ ขอให้ทุกท่านโชคดีกับการลงทุน สวัสดีครับ

บทความนี้เป็น Advertorial