มีคนบอกว่าออมก่อนรวยก่อน เชื่อไหม? ถ้าเป็นเรื่องของเงินฝากก็อาจจะใช่ใช่ไหมครับ แต่ถ้าเป็นเรื่องของการลงทุน เอ๊ะ มันมีช่วงราคาหุ้นขึ้นหุ้นลงด้วย ก็เลยเป็นข้อถกเถียงกันไม่ใช่น้อยเลยว่าเราควรจะรอให้หุ้นลงก่อนแล้วค่อยซื้อดีเปล่า

นิยามของการพิสูจน์ของผมมีดังนี้นะครับ

  1. เปรียบเทียบคน 5 คน ซึ่งมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังนี้
    • คนที่ 1 ลงทุนมาตั้งแต่ปี 2005 DCA มาเรื่อยๆ
    • คนที่ 2 บอกว่าอยากรอวิกฤตก่อน แล้วจะเริ่ม DCA นะ ได้เริ่มปลายปี 2008 สมใจ
    • คนที่ 3 เก็บเงินมาพร้อมๆกับคนที่ 1 แล้วก็ทุ่มช่วงวิกฤตซะเลยตอนปี 2008 แถม DCA ต่อ
    • คนที่ 4 เก็บเงินมาพร้อมๆกับคนที่ 1 เช่นกัน ทุ่มเงินก้อนในปี 2008 แล้วก็ ชิล ไม่ได้ลงทุนเพิ่ม
    • คนที่ 5 ไม่เคยลงทุนไม่เคยเก็บตังอะไรเลย พึ่งมาเริ่มลงทุนในปีนี้
  2. การ DCA ใช้ตัวเลข 5,000 บาทต่อเดือนนะครับ ในวันที่ 20 ของทุกเดือน
  3. ข้อมูลที่ผมเอามาใช้เป็นกองทุนหุ้น (ไม่มีการปันผล) เป็นกองยอดนิยมในตลาดกองหนึ่ง เนื่องจากกองทุนนี้จะเน้นการบริหารพอร์ตในเติบโตนะครับ ไม่เอาพวกกองน้ำมันหรืออะไรที่ผันผวนนะ เราเลือกอะไรที่เน้นเติบโตไว้
  4. ปัจจัยต่างๆถือว่าสะท้อนในกราฟราคากองทุนรวมไปแล้ว
  5. อย่าลืม : อันนี้เป็นการ Back Test เท่านั้น เรื่อง Performance ในอนาคตไม่ได้เกี่ยวกับอดีตครับ
  6. ผลกำไรคิดจากเงินที่ลงไปและราคาเทียบในวันที่ 11 ธันวาคม 2015 แบบตรงๆ (ไม่ได้คิดเปอร์เซ็นแบบ IRR นะครับ)

เอาล่ะ มาดูผลสรุปของทีละคนกันเลย

คนที่ 1 เก็บมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ มกราคม 2005 จนถึง พฤศจิกายน 2015 ด้วยการ DCA เดือนละ 5,000

จากภาพจะเห็นได้ว่า ในช่วงแรกๆของการลงทุนมันไปแบบเรื่อยๆ แล้วก็เกิดวิกฤต ซึ่ง DCA จะเฉลี่ยซื้อให้ต้นทุนต่ำลงมาได้บ้าง แต่อย่างที่บอกครับ ถ้าบรรยากาศการลงทุนมันคึกครื้นและกองทุนรวมมีผลประกอบการที่ดีด้วย การเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักมันจะไม่ทำให้เราซื้อหุ้นมากจนเกินไป และในตอนนี้จะเห็นได้ว่าความผันผวนกลับมาอีกครั้ง แต่คนลงทุนมาก่อนแล้วก็จะไม่ได้รับผลกระทบเท่าไหร่จากต้นทุนที่มี Safety ต่ำกว่ามาก 

วิธีนี้เป็นวิธีง่ายๆและวิธีโง่ๆที่สุด ซึ่งแค่ใช้กลยุทธ์เลือกกองทุนรวมที่บริหารได้ดี ทยอยซื้ออย่างมีวินัยและใช้เวลาในการลงทุนในระดับหนึ่ง ทุกคนสามารถlสร้างความมั่งคั่งได้ 5,000 บาทต่อเดือนก็สร้างเงินล้านได้เห็นป่ะ! 

จุดหนึ่งที่ต้องระวังก็คือ เวลาเกิดวิกฤตน่ะ บางทีใจสั่นๆ แล้วก็จะมาถามตลอดใน Fan Page กันเนี่ย "พี่ต้าร์ ขายดีไหม แย่แล้วขาดทุนแล้ว" ถ้าเราไม่สามารถอดทนต่อการขาดทุนได้ในกองทุนรวมหรือหุ้นที่เราโครตมั่นใจเลยว่าจะต้องเติบโตแน่ๆ ก็จะขายกันไป... แล้วพอมาดูอีกทีก็จะพบว่า "รู้งี้ๆๆๆๆๆ ไม่น่าขายเลยยยย" (กลับไปซื้อในราคานั้นก็ไม่ได้ด้วย)

คนที่ 2 รอวิกฤตก่อน แล้วฉันจะเริ่ม DCA บ้าง

อันนี้ผมสมมิตว่าเขามาเริ่มซื้อในช่วงเวลาที่ดีที่สุดเลยนะ ราคาต่ำแบบสุดๆ แค่ 6.584 บาทในเดือน พฤศจิกายน 2008 มั่นใจมากว่าต้นทุนต่ำจะได้หุ้นเยอะ ก็เลยเริ่ม DCA ตั้งแต่บัดนั้น มาดูผลงานว่าเป็นอย่างไร

บางคนก็คงแปลกใจนะ มาเป็นคนที่ 2 เริ่มตอนวิกฤตน่าจะได้หุ้นเยอะ ต้นทุนน่าจะต่ำกว่า แต่เปล่าเลย มันได้ต้นทุนต่ำแค่ช่วงแรกเท่านั้น พอราคาหุ้นเติบโตไป มันไม่มีอะไรให้ถ่วงน้ำหนักเท่ากับคนที่ลงทุนมาก่อน ต้นทุนก็เลยถูกลากขึ้นไปและในระยะยาวก็จะต้นทุนสูงกว่าคนที่ลงทุนมาก่อน

ก็คงมีคำถามเพิ่มเตินนะครับว่า อ้าวแล้วถ้าอย่างงี้เราลงทุนมานานแล้วหุ้นเกิดต่ำลงในระยะยาวจะทำอย่างไร? เพราะมันเฉลี่ยลงไม่ได้เยอะจากการที่มีต้นทุนเก่าดึงเอาไว้เช่นกัน ก็ต้องขอตอบว่าจริงๆการลงทุนแบบ DCA มันต้องดู Fundamental พื้นฐานด้วยนะครับ การเลือกหุ้นสำคัญ ถ้าระยะยาวราคาลงเรื่อยๆแบบต่อเนื่อง ผมว่าจะมีข่าวแล้วล่ะว่าทำไมคนขายขนาดนั้น เพราะพื้นฐานมันไม่ดีใช่ไหม อาจจะเป็นหุ้นตะวันตกดิน หุ้นที่พื้นฐานเปลี่ยนหรือหุ้นวัฏัจกรขาลง ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้อง Cut Loss อย่าไป DCA ต่อ ลองดูบทความเก่าๆที่ผมเขียนเรื่อง BANPU SSI

พอเป็นแบบนี้ก็พอจะพิสูจน์ได้ระดับหนึ่งว่า ออมก่อนน่าจะมีโอกาสรวยก่อนคนมาออมที่หลัง แม้เขาจะโชคดีมาเริ่มออมในช่วงวิกฤติอยู่ดีนะครับ

คนที่ 3 เก็บเงินก่อนแล้วก็จะทุ่มในวิกฤตพร้อม DCA ด้วยเลย

หลายๆคนเก็บเงินสดไว้ก่อนเพราะมาลงทุนช้าและรู้สึกว่าอยากรอวิกฤตจะได้ซื้อหุ้นถูก แล้วถ้ามีโอกาสก็จะ DCA ต่อไปด้วย ก็มีแบบนี้จริงๆนะ ผมสมมติเลยว่าเขาเก็บเงินพร้อมกับคนที่ 1 แล้วเกิดดั๊นมาได้ราคาตอนต่ำที่สุดแล้วทุ่มเงินลงไปแบบหมดตัว พร้อมๆกับเอาเงินออมแต่ละเดือนมา DCA ต่อด้วย มาดูผลงานคนนี้นะครับ

โอ๊ะ! การใช้จังหว่ะที่ดีเราเรียกว่า Market Timing ถูกไหม หากเราสามารถลงทุนในสุดที่ต่ำของหุ้นหรือกองทุนรวมได้ แน่นอนว่ามันก็อาจจะชนะผลตอบแทนแบบ DCA ได้ จากการเทสดูแล้วหากเราเก็บเงินเอาไว้แล้วเจอจังหวะดีๆในการลงทุนแล้วก็ทุ่มมันไปเลย ก็จะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ และเมื่อเราทุ่มไปแล้ว น้ำหนักจะถ่วงเยอะมาก แถมเรา DCA ต่อไปเรื่อยๆยิ่งสร้างความมั่งคั่งได้เลยเลย

แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องการประเมินความเป็นไปของราคาหุ้น มันเป็นเรื่องที่เดาไม่ได้หรอก... วิธีนี้ก็ยังคงเป็นวิธีแห่งความฝันอยู่นะครับ (เพราะอันนี้เราเห็นอดีตก็เลยมีคำตอบ) ใครๆก็อยากได้ราคาต่ำสุด แต่เอาเข้าจริงก็ไม่มีใครรู้อนาคตอยู่ดี ลองถามตัวเอง ณ เวลาที่อ่านบทความนี้ก็ได้ว่า "คุณว่าหุ้นในวันนี้เป็นอย่างไร รออีกนิดค่อยซื้อดีกว่าไหม? เผื่อมันจะต่ำกว่าเดิม เอ๊ะ หรือมันจะสูงกว่าเดิม" ไม่มีใครตอบได้แน่นอน และอีกอย่างถ้าชีวิตเราหลังจากนี้ไม่เกิดมวิกฤตอีกแล้วล่ะ? มันจะกลับกันเลย กลายเป็น การไม่ลงทุนก็มีความเสี่ยง (เพราะมันไม่ลงมาให้ซื้ออีกแล้วววววว)

ก็เลยพอจะสรุปได้ว่า ถ้าเราเจอวิกฤตนะควรลงทุน ไง่ายๆเลยอ่าจจะเพิ่มการลงทุนให้มากขึ้น ทยอยซื้อ