วันนี้ยังไม่สิ้นเดือนเลย เงินเดือนมันหายไปไหนหมดว้าาาาาาา!!
เชื่อว่าหลายๆคนอาจจะเคยบ่นประโยคนี้กับตัวเองมาแล้ว (นับครั้งไม่ถ้วน) บางคนบ่นเดือนเว้นเดือน แต่บางคนบ่นแทบทุกเดือน หรือบางคนอาจจะบ่นตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เงินเดือนเข้า #เศร้าใจ
วิธีใช้เงินนั้นเป็นการผสมระหว่างเหตุผลและอารมณ์ ซึ่งแต่ละคนใช้ในการตัดสินใจที่แตกต่างกัน หากใช้เหตุผลก่อนตัดสินใจซื้อ เรียงลำดับความสำคัญว่าอะไรควรซื้อก่อนหลังภายใต้งบอันจำกัด ของตนเอง ก็จะมีเงินเหลือ #ยิ้มเลย
แต่ถ้าใช้อารมณ์เป็นตัวตัดสินใจ ซื้อทุกอย่างตามใจตนเอง อยากได้อะไรก็ซื้อ ใช้เงินแบบไม่ต้อง คิดหน้าคิดหลังให้ดีประหนึ่งว่าวันนี้จะเป็นการจ่ายเงินครั้งสุดท้ายในชีวิต ไม่ต้องไปหาหมอดูก็รู้ว่า วิธีการใช้เงินแบบนี้อีกไม่นานก็เข้าสู่สมาคมรักหนี้ #ยิ้มไม่ออก
เรียนทางลัดจากกระทู้
เรามองว่ากระทู้มันเป็นแหล่งที่บอกเล่าเรื่องราว บางหัวข้อให้ความรู้น่าติดตาม บางหัวข้อเตือนให้คนระวังภัย บางครั้งก็เป็นที่ระบายปัญหาที่ไม่สามารถบอกใครได้ “กระทู้มันมีชีวิตและเรื่องราว” ซึ่งบางเรื่องอาจจะทำให้เราเรียนรู้วิธีแก้ปัญหา โดยที่ไม่ต้องเจอความเจ็บปวดเอง บางคนอาจจะเจอทางออกให้ปัญหาของตนเองได้ในกระทู้แบบบังเอิญก็ได้
แม้ว่าบางครั้งอาจจะนำมาแก้ปัญหาของตนเองไม่ได้ 100% แต่อย่างน้อยมันก็นำมาเป็นส่วนประกอบในการตัดสินใจได้ รวมทั้งทำให้เรารู้ว่าตนเองก็ไม่ได้เจอปัญหานี้คนเดียวบนโลก มีหลายคนเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกัน หากคนอื่นผ่านมันไปได้ เราก็ต้องทำได้เช่นกัน #ให้กำลังใจตัวเอง
หนี้สินเพราะให้รางวัลชีวิต
วันนี้เราก็มีกระทู้หนึ่งที่น่าสนใจและเป็นตัวอย่างได้ดีกับคนที่ชอบ “ให้รางวัลชีวิต” ตัวเองบ่อยๆ ว่าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไรในอนาคต หากไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เราควรศึกษาไว้เพื่อเตือนใจตนเองรวมถึงตักเตือนคนรอบข้างให้ลดพฤติกรรม “ให้รางวัลชีวิต” จะได้ไม่บ่นกับตนเองทีหลังว่า “รู้งี้ไม่น่าทำเลย” ก่อนที่จะสายเกินไป
ที่มา :แม่ดื้อรั้น จนหนี้ท่วมหัว เกลียดแม่ครับ
http://m.pantip.com/topic/34400744
จากภาพนี้เป็นตัวสรุปจากเรื่องราวในกระทู้ (ฉบับเต็มตามลิ้งค์ข้างล่างรูปภาพ) เรื่องนี้เกิดขึ้นมาจากการที่ลูกชาย(ผู้เขียนกระทู้) ได้ตักเตือนแม่ถึงวิธีการใช้เงินที่เข้าขั้นอันตรายจากการกู้หนี้ใหม่มาโป๊ะหนี้เดิม จากวิธีการใช้จ่ายในอดีตที่ใช้ชีวิตและใช้จ่ายอย่างสุขสบาย ใช้จ่ายอย่างประมาท อยากเที่ยวที่ไหนก็ไปเพราะมองว่าเป็นการ “ให้รางวัลชีวิต”
เมื่อเจอพิษเศรษฐกิจเข้าไป แล้วยังใช้จ่ายเหมือนเดิมก็หนีไม่พ้นวงจรหนี้ จากหนี้ก้อนเล็กก็ใหญ่ขึ้น เรื่อยๆจนกลายเป็นหนี้ 6 ล้าน!! ปัจจุบันแม่ก็ให้ลูกชาย (ผู้เขียนกระทู้)ที่เพิ่งเริ่มทำงาน ช่วยกันหาเงินมาชำระหนี้สินนี้ด้วย เมื่อเห็นลูกชายมีแฟนก็กำลังจะให้ลูกชายไปยืมเงินแฟนเพื่อมาชำระหนี้ด้วย (อ่านจบแล้วนึกถึงละครหลังข่าวช่อง 7) #ชีวิตจริงอาจจะดราม่ากว่าละคร
5 ข้อคิดที่เราเรียนรู้จากกระทู้
เรื่องที่ 1 การให้รางวัลชีวิต
ข้อความหนึ่งในกระทู้ เวลามีแม่ไม่เคย เก็บ แม่ผมสมัย 10 ปีก่อนเฟื่องฟูมาก หาได้เดือนละ 8-9 หมื่น เที่ยวต่างจังหวัดหนักมาก ปีๆ นึงเที่ยวหมดเงินหลายแสน เวลาพ่อบ่น ผมบ่น แม่ก็บอกว่า "กุต้องให้รางวัลชีวิต" |
หลายคนมักใช้คำนี้เป็นข้ออ้างในการใช้จ่ายเพื่อตอบแทนความเหนื่อยยากในการหาเงินให้ตนเอง ถ้าเราใช้คำนี้ในโอกาสพิเศษจริงๆ เช่น ปีใหม่ วันเกิด ครบรอบแต่งงาน มันก็เป็นการให้รางวัลชีวิตที่มีคุณค่ามากๆ น่าจดจำแล้วมีความสุขทุกครั้งที่คิดถึง
หาเงินได้หลักหมื่น ใช้จ่ายหลักแสน จบลงที่หนี้สิน
ในทางตรงกันข้ามถ้าเราใช้คำว่า “ให้รางวัลชีวิต” กับตัวเองบ่อยมากหรือแทบทุกวัน เช่น ฉลองวันศุกร์แห่งชาติ ฉลองเทศกาลวันหยุด ฉลองวันอยากจะกิน เรียกว่าให้รางวัลทุกเทศกาลกันเลยทีเดียว แบบนี้ความพิเศษของมันจะลดลง กลายเป็นเพียงวันธรรมดาวันหนึ่งเท่านั้น และจุดที่อันตรายที่สุด คือ ก่อให้เกิดรายจ่ายจำนวนมหาศาลจนอาจจะกลายเป็นหนี้สินได้อย่างไม่รู้ตัว
เรื่องที่ 2 ความรู้ทางการเงินนั้นไม่ได้มากขึ้นตามอายุ
ข้อความหนึ่งในกระทู้ ผมบอกแม่ว่า เลิกกู้หนี้มาโปะหนี้ซักที ไม่มีก็ปล่อย จ่ายเท่าที่มี พยายามโปะทีละก้อน อย่าจ่ายยอดอย่างต่ำเปนเบี้ยหัวแตก แม่ผมหน้าบาง ห่วงหน้าตา กลัวธนาคารโทรจิก เลยละเลียดจ่ายเลี้ยงไข้ ไปเรื่อยๆ จนทุกวันนี้ โดนฟ้องเกือบครบ 10 แบงค์แล้ว เพราะสุดท้ายก็ไม่รอด จ่ายไม่ไหว แถมเจอหนี้นอกระบบเล่นงานอีกจนส่งดอกเดือนๆ นึงแทบไม่รอด |
“ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งมีความรู้ทางการเงินมากขึ้น”
แต่ก่อนเราเคยคิดแบบนี้ คิดว่าเมื่อโตขึ้น เราก็จะเรียนรู้เรื่องบริหารการเงินได้ด้วยตนเองแบบอัตโนมัติ แต่ความจริงมันไม่ใช่ ความรู้ทางการเงินนั้นก็ไม่ต่างกับการเรียนภาษาไทยที่ต้องได้รับการสอนว่าควรฟัง พูด อ่าน เขียนอย่างไร แล้วก็ฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ
ความรู้ทางการเงินนั้นต้องได้รับการสอนและเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะแนวทางการใช้เงินในอดีต ปัจจุบันและอนาคตก็จะแตกต่างกันตามนวัตกรรมทางการเงินที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น
- เรื่องบัตรเครดิต ในอดีตที่ยังไม่มีบัตรเครดิตใช้งาน ก็จะใช้จ่ายกันด้วยเงินสด ต่างกับปัจจุบันที่เต็มไปด้วยบัตรเครดิตที่ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง (ยืมเงินในอนาคตของตัวเองมาใช้ก่อน) หากใครหักห้ามใจใช้จ่ายไม่ได้ก็จะเกิดหนี้สินกองโต
- เรื่องเงินแบบออนไลน์ อนาคตก็จะเป็นยุคที่อินเตอร์เน็ตจะเข้าถึงคนส่วนใหญ่มากขึ้น เราอาจจะเห็นแต่ตัวเลขเงินในบัญชีโดยไม่มีสมุดคู่ฝาก การทำธุรกรรมการเงินแบบออนไลน์จะกลายเป็นเรื่องปกติของคนทั่วไปที่ไม่ได้ใช้เงินสดอี