หลังจากที่เรารู้เรื่องกองทุน FIF จากภาคแรกกันไปแล้ว คราวนี้เรามาดูกองทุนที่น่าสนใจกันดีกว่าครับ
กองทุนที่ผมเลือกมาในวันนี้เป็นกองทุนในฝั่งของยุโรปครับ เนื่องจากกว่าช่วงปีที่แล้ว และผมคาดการณ์ว่าปีนี้น่าจะเป็นปีทองของกองทุนยุโรปอีกปีครับ
เนื่องจากเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวของยุโรป และกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วเช่น สหรัฐ และญี่ปุ่นด้วย
ซึ่งจะส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ มีผลกำไรมากขึ้นและสุดท้ายจะสะท้อนไปยังราคาหุ้นนั่่นเองครับ ซึ่งถ้าใครได้ลงทุนไปในกองทุนยุโรปในปีที่แล้วผมเชื่อว่าจะได้กำไรมากกว่าลงทุนในกองทุนหุ้นไทยบางกองซะอีก
เรามาพบกับกองทุน 6 กองทุนที่น่าสนใจกันนะครับ
1. Aberdeen European
2. Euro high Dividend
3. KTAM European Equity
4. KF Europe และ 5. K Europe (มีกองทุน Master Fund ตัวเดียวกันครับ)
6. European Growth Trigger
โดยมี Master Fund ที่แตกต่างกันตามตารางด้านล่างนี้ครับ
โดยกองทุนทั้งหมดจะเป็นกองทุนแบบ Feeder Fund หรือกองทุนที่ไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศแบบกองเดี่ยวนะครับ แต่จะมีกองทุน European Growth Tricker Fund ที่เป็น กองทุน Target Fund ครับ ถึงแม้จะเป็นกองทุนปิด แต่ก็มีผลตอบแทนและ การดำเนินงานของกองทุนที่น่าสนใจครับ (ยังสงสัยว่าทำไมไม่ทำเป็นกองทุนเปิดซะนี่)
จากผลตอบแทนย้อนหลังเราจะเห็นได้ว่ากองทุนที่ทำผลตอบแทนได้ดีที่สุดคือ Invesco ครับ โดยทำได้ดีเกือบทุก ๆ ช่วงปี ไม่ว่าจะเป็น 1 ,3 ,5 ปีย้อนหลังเลยทีเดียวครับ แต่กองทุนอื่น ๆ ก็ทำได้ดีเช่นกันนะครับ เพียงแต่ว่าอาจจะดูไม่ พุ่งรุนแรงเหมือนของ Invesco ครับ
อ๊ะ อ๊ะ แต่อย่าลืมว่าเราต้องดูความสม่ำเสมอของกองทุนด้วย จำได้ไหมครับถ้าจำไม่ได้ละก็ผมจะอธิบายซ้ำอีกครั้งนึง
โปรดฟังอีกครั้ง ผม copy มาจากบทความ ผ่ากองทุน LTF เลยนะครับ ไปตามอ่านย้อนหลังกันได้ครับ
"สิ่งที่เราพอจะดูได้ว่ากองทุนนั้นให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอรึเปล่านั้นก็คือ Rolling Returns ครับ" (คล้าย ๆ วงดนตรีรึเปล่า....นั่นมัน Rolling Stone !!! ) ไอ้เจ้า Rolling Returns นั้นคืออะไร ผมจะอธิบายง่าย ๆ อย่างนี้ครับ
จุดแต่ละจุดที่ท่านเห็นในกราฟด้านล่างนั้น คือ ผลตอบแทนเฉลี่ย 3 ปี 1 เดือน ครับ ดังนั้น แต่ละจุดนั้นจะบอกเรื่องราวของการลงทุนที่มากกว่า แค่ว่ากองทุนให้ผลตอบแทนในแต่ละปีเท่าไหร่ครับ
จุด 1 จุดที่เราเห็นจะแสดงให้เราเห็นว่า การลงทุนย้อนไป 3 ปีนั้นกองทุนทำงานได้ดีแค่ไหนครับ ดังนั้นถ้าเราเห็นกราฟที่จุดแต่ละจุดไม่ แกว่งขึ้นลงมากนัก ก็แสดงว่าผลตอบแทนที่เราได้ค่อนข้างที่จะสม่ำเสมอ กว่าเส้นกราฟที่แต่ละจุดนั้นขึ้น ๆ ลง ๆ ครับ
เราจะเห็นได้ว่าถึงแม้กองทุนของ Invesco จะทำผลตอบแทนได้ดี แต่ก็ไม่ค่อยสม่ำเสมอเท่าไหร่ครับ
กองทุนที่ทำผลตอบแทนสม่ำเสมอได้ดีก็คือกองทุนของ Franklin European Growth Fund , Allianz Europe Equity Growth และ Aberdeen Global - European Equity Fund นั่นเองครับ
คราวนี้เราก็มาดูว่า ถ้ากองทุนติดลบมาก ๆ ท่านนักลงทุนทั้งหลายจะพอใจกับกองทุนไหนกันครับ ถ้ารับขาดทุนได้มาก และอยากได้กำไรสูง ๆ ผมก็ขอแนะนำกองทุน Invesco ครับ แต่ถ้ารับขาดทุนมากไม่ได้ ผมว่าลองเข้าไปศึกษากองทุน Franklin European Growth Fund , Allianz Europe Equity Growth จะดีกว่าครับ
แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นหุ้น แน่นอนว่าเราจะเห็นการขาดทุนสูงสุดได้ถึง 15 % - 40 % เลยละครับ (ขึ้นกับแต่ละกองทุน)
ส่วนค่าทางสถิติต่าง ๆ ผมได้รวบรวมมาให้ทุกท่านแล้วครับ ตามด้านล่างนี้เลย แต่ถ้าสำหรับมือใหม่ ผมแนะนำให้ดูที่ค่า Sharpe Ratio ครับ
ซึ่งก็คือ ถ้าความเสี่ยงที่เท่ากันแล้ว กองทุนไหนจะให้ผลตอบแทนที่มากกว่ากันนั้นเองครับ ซึ่งค่านี้ ถ้ายิ่งมากก็จะยิ่งดีครับ (อย่าลืมไปอ่านบทความผ่ากองทุน LTF นะครับ มีอธิบายไว้ครับ)
กองทุนที่ได้ค่า Sharpe Ratio สูงสุดคือ กองทุนของ Invesco ซึ่งแสดงว่า กองทุนนี้ถึงแม้จะมีความเสี่ยงสูงแต่ก็มี ผลตอบแทนสูงจนทำให้คุ้มค่าต่อ 1 หน่วยความเสี่ยงครับ
ส่วนวันนี้ผมจะแนะนำให้รู้จักกับค่าทางสถิติอีกนึงตัว ( เราเจอกันแต่ละครั้ง มือใหม่ทุกคนต้องเก่งขึ้นครับ 55+) คือ ค่า Alpha ครับ
จริง ๆ ไอ้ค่า Alpha ถ้าจะอธิบายคงยืดยาว แต่เอาเป็นว่าคุยกันง่าย ๆ สั้น ๆ ละกันครับ ว่า Alpha นี้คือค่าที่บอกว่า ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในกองทุนนั้นทำได้ดี หรือ มากกว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนโดยตรงตามทฤษฎี(ผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดอยู่กี่ % ครับ) เช่น ค่า Alpha 4 % หมายความว่า กองทุนที่เราลงทุนอยู่ให้ผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนทางตรงตามตลาดอยู่ 4 % ดังนั้น ถ้าเราลงทุนในกองทุนที่ให้ค่า Alpha มากๆ ก็จะดีกว่า และเป็นตัวบ่งบอกด้วยว่ากองทุนนั้นมีการบริหารจัดการได้ดีครับ จนทำให้มีค่า Alpha เยอะครับ
และกองทุนที่ได้ค่า Alpha สูงสุดก็คือ Invesco อีกแล้วครับท่าน
ต่อมาเรามดู สไตล์การลงทุนกันดีกว่าครับว่าใครเป็นอย่างไรบ้าง
1. จุดเขียวคือกองทุน Aberdeen Global European กองทุนนี้จะเน้นการลงทุนไปที่หุ้น ที่มีความมั่นคง และ เป็นหุ้นเติบโตพอ ๆ กันครับ และเป็นหุ้นขนาดใหญ่ของยุโรป
2. จุดน้ำเงินคือ กองทุน Allianz Europen Equity กองทุนนี้จะเน้นไปที่หุ้นขนาดใหญ่ และเป็นหุ้นที่มีการเติบโตของธุรกิจสูงมาก
3. จุดเหลืองคือ กองทุน ING invest Euro Hi Dividend จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่ากองทุนนี้จะเน้นไปที่หุ้นขนาดใหญ่และมีปันผล เพราะชื่อกองทุนก็บอกอยูแล้วว่ามีนโยบายปันผลสูงด้วยครับ (High Dividend) ซึ่งถ้าชอบปันผลดี ๆ ละก็ต้องกองทุนตัวนี้เลยครับ
4. จุดฟ้าคือ กองทุน Invesco Cont European Sm Cp ส่วนกองทุนนี้จะเน้นการลงทุนไปที่หุ้นขนาดเล็ก ที่มีทั้งหุ้นปันผล และหุ้นเติบโตอยู่ในกองทุนครับ
5. จุดแดงคือ กองทุน Franklin European Growth กองทุนนี้จะเน้นไปที่หุ้นขนาดกลาง และก็มีโอกาสเติบโตของธุรกิจสูงครับ
ซึ่งผมจะเน้นย้ำเสมอว่า แม้ว่ากองทุนจะมี สไตล์การดำเนินงานต่างกัน แต่ก็สามารถที่จะมีผลตอบแทนสูงได้พอ ๆ กันครับ อันนี้ขึ้นกับว่าใครชอบสไตล์แบบไหนครับ
แต่มีจุดสังเกตนิดนึงครับ จากการที่ผมดูกองทุนมาสักพัก จะเห็นว่ากองทุนไหนก็ตามที่ลงทุนในหุ้นขนา