ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโลกของสื่อเปลี่ยนแปลงไวมาก

จากอดีตที่เจ้าของช่องทาง (Channel) จะเป็นผู้ครองตลาดสื่อรายใหญ่ ทั้งช่องโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ เหตุหนึ่งเพราะในอดีตเทคโนโลยีด้านสื่อยังไม่ได้ไปไกลมาก ช่องทางการส่งสารไปถึงผู้รับมีจำกัด กลายเป็นว่าผู้ถือช่องทางอยู่ในมือคือผู้ชนะแบบเบ็ดเสร็จ

แต่ในปัจจุบันเจ้าของคอนเทนต์ (Content) กลายมาเป็นหัวใจสำคัญของวงการสื่อเสียแล้ว ด้วยนวัตกรรมด้านการสื่อสารที่ก้าวไปไวมาก จนกลายเป็นว่าผู้บริโภคสามารถเลือกรับสารได้จากหลายช่องทาง คอนเทนต์จึงกลายมาเป็นสิ่งที่มีบทบาทมากขึ้นทุกวันๆ

เพราะผู้บริโภคยังคงต้องการเสพคอนเทนต์ที่ดี ถึงแม้ว่าช่องทางที่ถ่ายทอดอาจจะเปลี่ยนแปลงไป ทำให้บริษัทสื่อในปัจจุบันหันมาให้ความสำคัญกับคอนเทนต์กันมากขึ้น กลายเป็นว่าสื่อที่ดีควรจะต้องมีความครบแบบรอบด้าน ทั้งมีคอนเทนต์ในมือที่ดี มีช่องทางในจำนวนที่เหมาะสม และที่สำคัญคือมีกลยุทธ์การเติบโตที่สอดคล้องไปกับพลวัตของภาพรวมอุตสาหกรรมด้วย

ผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่ของ JKN ก็ถือเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ

การเติบโตในอนาคตของธุรกิจที่มีกลยุทธ์ชัดเจน ทำให้ รศ.ดร.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ ผู้ถือหุ้นใหญ่กลุ่มโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ได้ตัดสินใจเข้าซื้อหุ้น JKN แบบ Big Lot จำนวน 4,000,000 หุ้น จากคุณแอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ผู้บริหาร JKN ผ่านกระดานหุ้นในวันที่ 11 ตุลาคม 2561 ซึ่งเป็นการซื้อที่ราคา 13.30 บาท (สูงกว่าราคาตลาด) คิดเป็นมูลค่ารวม 53.20 ล้านบาท

โดยการที่ รศ.ดร.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่มีผลต่อโครงสร้างการบริหารงานใดๆ ทั้งสิ้น โดยคุณแอนได้เปิดเผยว่า เป็นการขายหุ้นส่วนตัวครั้งแรกตั้งแต่นำ JKN เข้าตลาดหุ้นมา ด้วยนับถือ รศ.ดร.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ เป็นอาจารย์ และการเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ครั้งนี้ก็เป็นไปด้วยมุมมองการลงทุนระยะยาวไปกับการเติบโตของบริษัทฯ

การตัดสินใจลงทุนซื้อหุ้น JKN ครั้งนี้ รศ.ดร.นพ.เฉลิม ต้องการลงทุนระยะยาวใน JKN ซึ่งถือเป็นบริษัทฯ ที่มีศักยภาพการเติบโตในภูมิภาคอาเซียน และมองว่าคอนเทนต์ถือเป็นสินค้าต้นน้ำที่สื่อนำไปใช้เผยแพร่ได้ในทุกแพลตฟอร์ม ทั้งสื่อดั้งเดิมและสื่อใหม่ๆ ซึ่งจะสามารถสร้างรายได้ให้ JKN ได้อีกมาก

JKN ถือเป็นบริษัทที่เป็นตัวแทนของบริษัทสื่อสมัยใหม่

เรียกได้ว่า JKN ถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการฉายภาพของการเปลี่ยนแปลงแบบไม่หยุดนิ่ง จากบริษัทที่เน้นการนำลิขสิทธิ์จากต่างประเทศมาจัดจำหน่าย สู่การสร้างช่องทางและรายการผ่านสถานีโทรทัศน์ของตนเอง และล่าสุด JKN ก็ขยายธุรกิจเข้าสู่การส่งออกคอนเทนต์อย่างเต็มรูปแบบ

คุณจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทฯ ได้ให้ข้อมูลถึงความร่วมมือระหว่าง JKN กับ BEC หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในฐานะโทรทัศน์ช่อง 3 ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลนธุรกิจที่จะสร้างการเติบโตในตลาดระดับโลกให้แก่ JKN โดยตั้งเป้ารายได้จากการจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในตลาดต่างประเทศอยู่ที่ 300 ล้านบาทภายในมิถุนายน ปี 2562

และล่าสุด JKN ยังได้เป็นตัวแทนในการจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์ของภาพยนตร์นาคี 2 ในต่างประเทศทั่วโลก (ยกเว้นในประเทศไทยและกลุ่มประเทศ CLMV) ซึ่งถ้าดูจากฟีดแบ็กและความสำเร็จในการทำรายได้ในไทยของหนังฟอร์มยักษ์เรื่องนี้แล้ว ต้องบอกว่าการนำไปจัดจำหน่ายในตลาดต่างประเทศนั้นก็มีโอกาสประสบความสำเร็จมากทีเดียว

จิ๊กซอว์ชิ้นนี้เป็นเหมือนการต่อภาพการเป็นบริษัทคอนเทนต์ของ JKN ให้ครบสมบูรณ์

ธุรกิจของ JKN จึงครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ทั้งนำเข้าคอนเทนต์ จัดจำหน่าย ไปจนถึงส่งออกคอนเทนต์ โดยธุรกิจในส่วนนำเข้านั้น JKN มีซีรีส์อินเดียที่เคยสร้างกระแสหนุมานฟีเวอร์จนฮิตทั่วประเทศ ทำเรตติ้งได้ถล่มทลายไปแล้ว และตอนนี้การจับมือกับช่อง 3 ก็จะทำให้ธุรกิจการส่งออกของ JKN แข็งแรงและสมดุลมากยิ่งขึ้น

อย่างที่ทราบกันดีว่า ละครไทยของช่อง 3 นั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง และมีดารานักแสดงชื่อดังร่วมแสดงอยู่มากมาย แต่ละเรื่องเรียกได้ว่าเป็นตำนานก็คงไม่ผิดนัก อย่างบุพเพสันนิวาสก็เป็นคอนเทนต์ที่สร้างกระแสนิยมได้อย่างถล่มทลาย

ด้วยคอนเทนต์น้ำดีระดับพรีเมี่ยมแบบนี้ ทำให้การส่งออกไปยังต่างประเทศที่เป็นบ้านใกล้เรือนเคียงและมีวัฒนธรรมใกล้เคียงกันก็ถือว่าน่าลุ้น และน่าจับตามองว่าจะเป็นเครื่องยนต์ที่สำคัญในการขับเคลื่อน JKN ในช่วงระยะเวลาถัดไป

ความโดดเด่นของ JKN อยู่ที่การเป็นบริษัทมุ่งเน้นคอนเทนต์เป็นหัวใจ

ในยุคที่อุตสาหกรรมสื่อเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และยังมีผู้เล่นรายใหม่ๆ ที่พร้อมเข้ามาแย่งชิงเค้กก้อนใหญ่ในอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง การที่ JKN มีคอนเทนต์คุณภาพอยู่ในมือ จึงเป็นทั้งเครื่องมือในการสร้างการเติบโต และเป็นเบาะรองรับแรงกระแทกของการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี

คิดเหมือนกันไหมหละ... ออเจ้า?!

ลงทุนศาสตร์ – Investerest

บทความนี้เป็น Advertorial