การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน

การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มีจุดเด่นคือความผันผวนที่ไม่มาก เหมาะกับการลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ นอกจากนี้ อสังหาริมทรัพย์ยังเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ เราสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพย์โดยตรงได้ เช่น การอยู่อาศัยระหว่างรอขายหรือปล่อยเช่า ซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่สินทรัพย์ทางการเงินอื่นไม่ค่อยมี

การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มีแนวทาง 2 อย่างหลัก คือ การลงทุนเพื่อกำไรส่วนต่าง (Capital Gain) และ การลงทุนเพื่อกระแสเงินสด (Cash Flow) นึกภาพง่ายๆ การลงทุนเพื่อกำไรส่วนต่างก็คือการเน้นซื้ออสังหาริมทรัพย์แบบซื้อมาขายไปกินกำไร ในขณะที่การลงทุนเพื่อกระแสเงินสดเน้นการปล่อยเช่าเพื่อได้กระแสเงินสดแบบต่อเนื่อง 

แต่ไม่ว่าจะลงทุนอสังหาริมทรัพย์ด้วยจุดมุ่งหมายแบบไหน การประเมินมูลค่าทรัพย์ก่อนซื้อถือเป็นเรื่องสำคัญมาก แนวคิดการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไม่ต่างจากการลงทุนในหุ้นเลย คือต้องประเมินมูลค่าทรัพย์ก่อน และเลือกซื้อในจุดที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า เพื่อมาขายหรือปล่อยเช่า ในจุดที่มูลค่าและราคามีความเหมาะสมซึ่งกันและกัน

ตัวอย่างกรณีศึกษาที่ยกมาวันนี้ คือโครงการคอนโดมิเนียม “HYDE Heritage Thonglor”

หลักการคิดในการซื้อเพื่อการลงทุนเหมือนกับการลงทุนหุ้นทุกอย่าง นั่นคือ ถ้าประเมินมูลค่าแล้ว ราคาคอนโดที่ซื้อได้ต่ำกว่ามูลค่าที่คำนวณได้ เราในฐานะนักลงทุนจะมองว่าโครงการนี้มีศักยภาพและน่าสนใจ หากสนใจลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เราก็สามารถซื้อเพื่อลงทุนได้

1. กรณีการลงทุนเพื่อกำไรส่วนต่าง

การประเมินมูลค่าที่เราใช้เป็นหลักคือการเปรียบเทียบกับราคาตลาด เหมือนที่หุ้นต้องดูอัตราส่วน PE ในกรณีที่เป็นคอนโดมิเนียม เราก็สามารถเปรียบเทียบราคาตลาดในทำเลที่มีศักยภาพใกล้เคียง หากราคาคอนโดเฉลี่ยต่อพื้นที่ถูกกว่าราคาตลาด แบบนี้อาจเรียกได้ว่าราคาต่ำกว่ามูลค่า มีความน่าสนใจในการลงทุน

2. กรณีลงทุนเพื่อกระแสเงินสด

การประเมินมูลค่าที่เราใช้เป็นหลักคือการเปรียบเทียบผลตอบแทนจากค่าเช่าต่อปีเป็นเปอร์เซ็นต์ หรือที่นิยมเรียกว่า %yield โดยปรกติ %yield ของการปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์จะอยู่ที่ประมาณ 5 – 8 % หากเราคำนวณค่าเช่าที่จะได้รับต่อปีหารด้วยราคาคอนโดแล้ว %yield ที่ได้สูงกว่าผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุน แบบนี้ก็ถือว่ามีความสนใจในการลงทุน

จากทำเลของโครงการ HYDE Heritage Thonglor ก็ถือว่ามีศักยภาพสูง ด้วยทำเลบนถนนเส้นหลักที่รถไฟฟ้าตัดผ่านที่เหลือพื้นที่ให้ขึ้นโครงการทุกที ปรกติราคาต่อหน่วยพื้นที่ของถนนเส้นนี้แพงมาก เพราะเรียกได้ว่าเป็นเหมือนถนนเส้นหลักของกรุงเทพมหานคร ทำเลใกล้สถานีรถไฟฟ้าทองหล่อและเอกมัย แนะนำว่าเวลาเทียบราคาตลาดต้องเปรียบเทียบให้ชัดเจนว่า ราคาโครงการที่สนใจอยู่เส้นไหน ติดรถไฟฟ้าหรือไม่ ติดถนนใหญ่รึเปล่า ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อความถูกต้องแม่นยำของการลงทุน

ส่วนเรื่องการตกแต่งก็เรียกว่าไม่ทำให้ผิดหวัง ด้วยงานออกแบบสไตล์ Manhattan Design คงภาพลักษณ์ความรู้หรามีรสนิยมแบบไร้กาลเวลา เน้นความหรูหรามีระดับที่สามารถส่งต่อไปได้ชั่วลูกชั่วหลานแบบในคอนเซปต์ Timeless Elegance เห็นแล้วชวนหลงใหลให้นึกถึงที่พักในย่านทำเลราคาแพงของประเทศฝั่งตะวันตก ผลงานด้าน Architect โดย I Will Design Studio งาน Interior โดย That's ITH และงาน Landscape โดย SHMA ใครที่ชอบกลิ่นอายของความผู้ดีอังกฤษ ถกถ้อยอย่างออกรสด้วยสำเนียง British English และจิมชายามบ่ายแบบ Classy การตกแต่งแบบนี้คงต้องสร้างความประทับใจให้ได้อย่างแน่นอน

ขีดเส้นใต้ว่าตอนนี้ HYDE Heritage Thonglor เปิดขายด้วยราคา Early Bird ก่อนจะปรับราคาในปีหน้า

ราคา Early Bird เริ่มต้นอยู่ที่ 247,500 – 279,600 บาท/ตารางเมตร ราคาห้องเริ่มต้นอยู่ที่ 9,900,000 – 38,281,440 บาท เท่านั้น  ทั้งนี้ทั้งนั้นอยากให้ลองเปรียบเทียบราคาโครงการกับราคาขายของโครงการอื่นโดยเฉลี่ยในทำเลเดียวกัน (ติดถนนหลักเส้นสุขุมวิทติดรถไฟฟ้า) แล้วจะรู้ว่าราคาไม่ได้แรงอย่างที่คิด !

ใครสนใจลงทุนคอนโดมิเนียมอยู่ โดยเฉพาะผู้ที่สนใจคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมที่ปล่อยเช่าได้ในราคาสูง เน้นกลุ่มลูกค้าผู้มีรายได้ดีหรือกลุ่มชาวต่างชาติที่มาทำงานในประเทศไทย อยากให้ลองศึกษาโครงการนี้ดู เพราะปีหน้าจะปรับราคาขึ้นและไม่ได้ราคา Early Bird แล้ว หากใครสนใจจะซื้อ การซื้อก่อนก็จะได้ผลประโยชน์ตรงส่วนลดราคาตรงนี้เพิ่มขึ้นอีกมาก

ใครกำลังมองหาคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมสำหรับลงทุนอยู่ กดเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมเลยได้ที่ www.hydeheritage.com หรือจะโทรสายตรงไปสอบถามรายละเอียดที่ 099-282-3965 ก็ได้เช่นกัน

Appreciate!

ลงทุนศาสตร์ - Investerest

บทความนี้เป็น Advertorial