สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่าน ผมหมอนัทประจำคลินิกกองทุนแห่งนี้เองครับ คำถามที่ผมมักจะพบบ่อยๆ ในเพจคลินิกกองทุน และถือได้ว่าเป็นคำถามที่ตอบได้ยากมากครับ เนื่องจากว่าคำตอบของคำถามนี้ขึ้นอยู่กับตัวนักลงทุนเองด้วยบางส่วนครับ นั่นก็คือ “ลงทุนในหุ้นเอง หรือว่าลงทุนผ่านกองทุน อันไหนดีกว่ากัน?”

จากประสบการณ์การลงทุนมา 10 กว่าปี ผมต้องขอบอกว่า ถ้าหากนักลงทุนท่านไหนที่สามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้ ก็สามารถที่จะลงทุนหุ้นเองได้

  1. มีวินัยสูงมาก
  2. จิตใจเข้มแข็ง ทนการขาดทุนได้ รับความเสี่ยงได้
  3. ยอมรับความผิดพลาดได้ ปรับปรุงตัวได้เร็ว
  4. มีความเข้าใจพื้นฐานการลงทุนเป็นอย่างดี
  5. มีความรู้ ความเข้าใจในหุ้น และตลาดหุ้นที่ตนเองกำลังจะลงทุนด้วยเป็นอย่างดี
  6. มีความสามารถในการหาข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงแนวโน้มการลงทุนต่าง ๆ ได้
  7. อ่านงบการเงินได้ (ในสายที่ลงทุนเน้นพื้นฐาน)
  8. อ่านกราฟได้ (ในสายการลงทุนผ่านกราฟเทคนิคอล)
  9. มีกลยุทธ์ในการซื้อเข้า-ขายออก อย่างชัดเจน
  10. บริหารเงินเป็น (Money Management)

ผมคิดว่าหลายๆ คนอ่านแค่ข้อ 1-3 ก็อาจจะเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าจะทำได้หรือไม่ แต่ผมจะบอกว่าจริง ๆ แล้วข้อที่ 1-3 นั้นถือว่าเป็นหัวใจของการลงทุนระยะยาว ที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้ครับ

นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งที่จะพิสูจน์ถึงความสามารถของนักลงทุนอีกด้วย โดยเฉพาะระหว่างนักลงทุนที่มีประสบการณ์ กับนักลงทุนหน้าใหม่ เพราะยิ่งผ่านสนามรบมามากก็ยิ่งเข้าใจมาก และถ้าปรับปรุงแนวทางการลงทุนได้ ก็มีโอกาสสูงที่จะทำผลตอบแทนได้ดีครับ

จึงไม่แปลกที่นักลงทุนหันหน้าไปพึ่งกองทุนรวมมากขึ้น เนื่องจากคนส่วนใหญ่ที่มาลงทุนนั้น อาจจะไม่ได้มีเวลาลงทุนเอง เป็นพนักงานบริษัทบ้าง เป็นผู้บริหารบ้าง หรือเป็นเจ้าของกิจการบ้าง ซึ่งผมเชื่อว่าอาชีพที่แตกต่างกันของแต่ละคน ก็ทำให้ความสามารถในการวิเคราะห์ หรือการหาข้อมูลต่างๆ ไม่เท่าเทียมกัน การลงทุนในกองทุนที่มีมืออาชีพบริหารจัดการให้ จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด สำหรับคนที่ยังปฏิบัติได้ไม่ครบ 10 ข้อที่กล่าวมา

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว แบบไม่ต้องบริหารจัดการเองมาก ก็อาจจะเริ่มพิจารณาจากตัวเลือกต่างๆ ต่อไปนี้ได้ครับ

กองทุนหุ้น VI เพื่อการลงทุนระยะยาว

ในปัจจุบันหลาย ๆ บลจ. ออกกองทุนที่ใช้วิธีการแบบ Value Investing หรือ VI แพร่หลายมากขึ้นครับ การลงทุนแบบนี้จะเน้นดูคุณค่า หรือ มูลค่าของกิจการอย่างแท้จริง เน้นลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี โดยที่ให้ความสำคัญกับสภาวะเศรษฐกิจน้อยมาก หรือไม่สนใจเศรษฐกิจเลย เพราะไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร หุ้นเหล่านี้ก็มักจะไม่ได้รับผลกระทบ การลงทุนในหุ้นวิธีนี้ต้องอาศัยการลงทุนระยะยาว ๆ จะช่วยให้เรามีโอกาสที่จะไปถึงเป้าหมายได้ครับ

ถ้าลงทุนเอง จะคัดกรองหาหุ้นเหล่านี้ยากมาก เนื่องจากต้องอ่านข้อมูลที่มีอยู่มากมายมหาศาล และต้องมีความเข้าใจในธุรกิจนั้นอย่างมาก ๆ ครับ เปรียบเสมือนว่าเรากำลังจะหา “เพชรในตม” เลยละครับ

กองทุนบริหารแบบ Passive

ถ้ามองในมุมการบริหารจัดการ กองทุนรวมนั้นมีให้เราเลือกหลักๆ 2 แบบครับ คือ Active Fund กับ Passive Fund

กองทุนแบบ Active Fund คือกองทุนที่ผู้จัดการกองทุนจะทำทุกทางเพื่อให้ผลตอบแทนที่สูงที่สุดครับ ดังนั้นพอร์ตการลงทุนของกองทุนจะมีการเคลื่อนไหวเยอะหน่อย เพื่อพยายามสร้างผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด โดยใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการหาหุ้นด้วยวิธี Top-Down (ดูจากเศรษฐกิจ และไปดูที่หุ้นว่าหุ้นตัวไหนที่มีแนวโน้มที่ดีตามเศรษฐกิจ) หรือบางกองทุนก็อาจจะมีกลยุทธ์แปลกใหม่ เช่น กองทุน Low Beta (เน้นลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวนต่ำๆ ) บางกองทุนก็อาจจะเป็นกองทุนหุ้นปันผล (เน้นการจ่ายปันผลสม่ำเสมอทำให้ผู้ลงทุนรู้สึกว่าได้ผลตอบแทนกลับมาเรื่อย ๆ )

ส่วนบางคนที่ไม่ต้องการความหวือหวา ขอแค่เงินเติบโตสมเหตุสมผลในระยะยาว ก็มักจะไปลงเอยที่กองทุนประเภท Passive Fund ที่เน้นกระจายความเสี่ยงลงหุ้นหลายตัว ปรับพอร์ตไม่บ่อย และค่าธรรมเนียมต่ำ อย่างเช่นกองทุนดัชนี SET 50 ที่มูลค่าจะเคลื่อนไหวขึ้นลงตามดัชนี SET 50 หรือ Benchmark ซึ่งแน่นอนครับว่า ผลตอบแทนระยะยาวจะเติบโตไปเรื่อยๆ ตามตามแนวโน้มตลาดหุ้นระยะยาวที่เป็นขาขึ้นนั่นเองครับ

แม้ผลตอบแทนจะล้อไปกับดัชนีตลาด แต่การลงทุนผ่าน Passive Fund ในระยะยาว ก็ทำให้เรามีโอกาสสร้างผลตอบแทนดีสูงกว่า และประสบความสําเร็จได้ครับ

เอาเป็นว่ากองทุนที่สามารถทำผลตอบแทนระยะยาวได้ชนะตลาดหุ้น หรือเอาชนะ Benchmark (เช่นตลาดหุ้นไทย +10% ต่อปี กองทุนทำได้ +12%) ได้นั้นมีน้อยมากครับ ถ้าเป็นตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็จะยิ่งมีโอกาสน้อยมากเพราะว่าจำนวนหุ้นที่มีอยู่มากมายนั้น ทำให้ผู้จัดการกองทุนมีโอกาสที่จะเลือกหุ้นที่มีการเติบโตสูงกว่าตลาดหุ้นโดยรวมได้นั้นยากมากครับ ส่งผลให้มีกองทุนไม่ถึง 10% ที่สามารถเอาชนะตลาดหุ้นอันผันผวนได้ ส่วนในตลาดหุ้นไทยมีประมาณแค่ 20% เท่านั้น ดังนั้น แค่เลือกกองทุนแบบ Passive Fund ที่ผลตอบแทนล้อไปกับดัชนีตลาด ก็กลายเป็น 20% ที่ชนะตลาดหุ้นได้แล้วครับ

กองทุนแบบ Passive Fund จึงกลายเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงสุดๆ ของโลกในตอนนี้ เพราะว่าเราจะหาผู้จัดการกองทุนที่เก่งๆ  มีความสามารถครบ 10 ข้อที่ผมได้เกริ่นไว้ในตอนต้น และสามารถสร้างผลตอบแทนที่มีความสม่ำเสมอได้นั้น ยิ่งมีโอกาสน้อยครับ

กองทุนบริหารจัดการด้วยเทคโนโลยี

แต่การลงทุนผ่านกองทุนรวมเองก็ยังคงหนีไม่พ้น Human Error หรือ Human Bias อยู่ดีครับ เพราะผู้จัดการกองทุนที่เราไปลงทุนด้วยนั้น ความรู้ ความสามารถต่างๆ ก็ไม่เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะกลยุทธ์การลงทุน หรือแนวคิดการลงทุน ที่เราเรียกว่า ‘Investment Process’ นั้น แต่ละกองทุน แต่ละ บลจ. ก็ไม่เหมือนกันเลยครับ

และถึงแม้ว่าการบริหารกองทุนส่วนใหญ่จะนิยมแบบ Team Manage (บริหารแบบทีม) ที่มี Investment Process ที่ชัดเจน รวมถึงมีคณะกรรมการการลงทุนมาตรวจสอบ (Investment Committee) มากกว่าระบบ Star (ผู้จัดการกองทุนคนเดียว) ซึ่งจะช่วยลดข้อผิดพลาดลงได้มากกว่าก็ตามก็อาจจะมีข้อผิดพลาดได้

เนื่องจากการตัดสินใจก็ยังคงใช้ความคิด การคาดการณ์ สมมติฐานตามความเชื่อ มากกว่าเรื่องของข้อมูล หรือ Data โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Big Data ที่มีมากมายมหาศาล เอาเป็นว่ามนุษย์เองไม่สามารถที่จะวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ได้เลย แค่จำยังลำบากเลยครับ (ลองนึกถึงอาหารเช้าเมื่อ 4 วันที่แล้วสิครับว่าทานอะไรไป)

จึงเป็นสาเหตุให้ระบบ Machine Learning และ AI เข้ามามีบทบาทในการลงทุนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้การลงทุนง่ายมากขึ้น และแม่นยำมากขึ้น รวมถึงลดโอกาสความผิดพลาดต่างๆ ลงอีกด้วยครับ เพราะว่า AI เหล่านี้ไม่เหนื่อย ไม่พัก ไม่หยุด ไม่มีอารมณ์ รักษาวินัย วิเคราะห์ได้เร็ว แม่นยำ เอาเป็นว่า 10 ข้อที่ผมพูดถึง AI ทำได้เองเกือบทั้งหมดครับ จึงทำให้เรามีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีมากขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสไตล์การลงทุนในหุ้นระยะยาวที่ต้องอาศัยความอดทนมาก ๆ หลังจากที่เราได้วิเคราะห์กิจการว่าเป็นกิจการที่ดี รวมถึงมีมูลค่าที่น่าสนใจแล้ว ก็จะเข้าไปซื้อเพื่อลงทุนเสมือนว่าแต่งงานกินอยู่กันแบบระยะยาวอย่าง Value Investing นั่นเองครับ

ซึ่งถ้าเราไม่เข้าใจแนวคิดการลงทุนแบบ VI นี้ หรือ ไม่มีวินัยที่ดี ก็อาจจะทำให้เราขายหุ้นก่อนที่ราคาจะไปถึงมูลค่าที่แท้จริงของกิจการ ก็จะทำให้เรามีโอกาสจะไปถึงเป้าหมายได้น้อยลง หรือได้ผลตอบแทนที่ไม่ดีครับ

ดังนั้น ระบบ AI เองจะเป็นตัวช่วยจัดการเรื่องเหล่านี้ให้เรา เพื่อเพิ่มโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดี โดยจะคำนวนมูลค่าของหุ้นให้เราอย่างแม่นยำ ไม่มีความกังวลว่าจะคำนวนไม่ถูก และไม่มีอารมณ์ระหว่างทาง ไม่ซื้อ ๆ ขาย ๆ บ่อย ๆ แต่การซื้อขายแต่ละครั้งจะมีแนวทางชัดเจน ไม่ผิดจากที่ระบบคำนวนไว้ และประเมินคุณภาพของบริษัทได้อย่างไม่มี Bias เท่านี้ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับเราครับ

แต่ผมต้องขอบอกว่า นี่ไม่ใช่วิธีการที่เราจะ “รวยง่าย” หรือ “รวยเร็ว” นะครับ แต่จะเป็นการสร้างโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนตามที่นักลงทุนตั้งเป้าหมายไว้ ให้ใกล้เคียงมากที่สุด โดยลดความเสี่ยงต่างๆ โดยเฉพาะความเสี่ยงจาก Human Error ลงนั่นเองครับ

คราวนี้ก็มาถึงพระเอกของเราในครั้งนี้ครับ นั่นก็คือ “Jitta Wealth” คร้าบบบ

Jitta Wealth คือ การผสมผสานระหว่างกองทุน VI กองทุนแบบ Passive และกองทุนบริหารด้วยเทคโนโลยีครับ ออกมาเป็นกองทุนส่วนบุคคล ที่จะใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการลงทุน โดยจะมาช่วยในการคัดเลือกหุ้นที่พื้นฐานดี เติบโตได้ มีความแข็งแกร่งทางธุรกิจ / งบการเงิน และประเมินมูลค่าหุ้นเพื่อหาหุ้นที่ดีแต่ราคาหุ้นที่ไม่แพง โดยที่จะเน้นการลงทุนระยะยาวเสมือนว่าเป็นเจ้าของของธุรกิจนั้นจริง ๆ ตามแนวทางของนักลงทุนในหุ้นสไตล์ VI อันดับต้น ๆ ของโลก นั่นก็คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นั่นเองครับ

โดยระบบของ Jitta Wealth จะลงทุนในหุ้นที่ดีที่สุด โดยไม่จำกัดความรู้อยู่แค่หุ้นดังๆ เท่านั้นครับ แต่ AI จะวิเคราะห์หุ้นทุกตัวพร้อมๆ กันอย่างละเอียดเป็นมาตรฐาน เปรียบเทียบหุ้นได้เป็นหมื่นๆตัว เพื่อค้นพบหุ้นที่น่าลงทุนที่สุด จึงเป็นการตัด Human Bias หรือ Human Error ทิ้งไป จึงได้ประสิทธิภาพที่มากกว่าเดิมครับ

ระบบจะลงทุนด้วยเหตุและผล ตัดความเสี่ยงการขาดทุนจากอารมณ์ รวมถึงความชอบ ความเชื่อส่วนตัว (Human Bias) แล้วลงทุนตามข้อเท็จจริงล้วนๆ

นอกจากนี้ยังบริหารสัดส่วนของการลงทุนในหุ้น และ ทำการปรับสัดส่วนการลงทุนของพอร์ตการลงทุนให้กับเราอย่างอัตโนมัติ ซึ่งจะมีปรับพอร์ตปีละครั้ง ไม่ฟังข่าวสารจากตลาดที่จะทำให้ไขว้เขว จึงช่วยรักษาวินัยการลงทุนที่ดี

เช่น ถ้าหุ้นตัวไหนที่ไม่ดีแล้ว หรือมีมูลค่าที่สูงเกินมูลค่าแท้จริงไปมากก็จะทำการขายออกไป และเอาหุ้นตัวอื่นๆ ที่ดีๆ ราคาไม่แพงเข้ามาทดแทน โดยที่จัดสัดส่วนหุ้นต่างๆ ให้เราอย่างเหมาะสมครับ

การลงทุนของ Jitta Wealth ไม่ได้จำกัดการลงทุนเพียงแค่หุ้นไทย แต่จะมีตัวเลือกให้เราสามารถลงทุนต่างประเทศได้เพื่อกระจายความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสทำกำไรในต่างประเทศได้ เพราะมี AI วิเคราะห์ “หุ้นดีราคาถูก” และระบบอัตโนมัติจัดการลงทุนให้อยู่แล้วครับ

ซึ่งแต่ละประเทศที่ทาง Jitta Wealth เลือกมาให้นั้น ผมต้องขอชมทางทีมงานมากๆ เนื่องจากประเทศที่เลือกมานั้นต่างก็อยู่ในธีมการลงทุนระยะยาวได้ และมีโอกาสที่จะให้ผลตอบแทนที่สูงได้ เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีหุ้นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีที่ยังคงมีโอกาสเติบโตได้อยู่มากมาย และหุ้นเหล่านี้ก็มีการกระจายความเสี่ยงในตัวมันเอง เนื่องจากธุรกิจเหล่านี้มีผู้ใช้อยู่ทั่วโลก และเป็นธุรกิจที่เป็นลักษณะ Platform อย่าง Facebook , Google , Amazon เป็นต้นครับ

หรือการลงทุนในประเทศเวียดนามที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ครับ ซึ่งถ้าลงทุนระยะยาวได้ โอกาสที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีก็มีสูงมากขึ้นไปด้วยครับ

และส่วนที่สำคัญมากๆ และถือว่าเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้เรื่องผลตอบแทน นั่นก็คือ ค่าใช้จ่ายที่ประหยัดลงมากกว่าการลงทุนในกองทุนประเภท Active Fund อื่นๆ (กองทุนที่พยายามเอาชนะ Benchmark หรือว่าดัชนีของตลาดหุ้น)

ทั้งนี้ก็เพราะเทคโนโลยีจัดการแทนคน ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ค่าธรรมเนียมจึงต่ำและยุติธรรม คิดจากกำไรที่ทำได้เป็นหลัก จึงมีเงินกลับไปลงทุนให้กำไรทบต้นมากขึ้นไปอีกครับ โดยที่ค่าธรรมเนียมการบริหารของกองทุนอยู่ที่เพียงแค่ 0.5% เท่านั้นครับ (ถูกกว่ากองทุน Passive บางกองทุนเสียด้วยซ้ำ)

และข้อดีข้อสุดท้ายของการลงทุนผ่าน Jitta Wealth ก็คือ ทำให้เรามีเวลาไปทำสิ่งที่อยากทำเยอะขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าจะซื้อหุ้นเมื่อไหร่ ขายหุ้นเมื่อไหร่ ระบบอัตโนมัติจัดการให้หมดไม่มีวันหยุด เหลือเวลาว่างไปทำสิ่งที่รัก ที่อยากทำมากขึ้นครับ

สุดท้ายนี้ ก่อนที่จะจากกันไปในครั้งนี้ ผมอยากแนะนำนักลงทุนทุกท่านว่าก่อนลงทุนทุกครั้ง เราก็ควรที่จะต้องศึกษารายละเอียดก่อนเสมอครับ เพราะว่าการไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังจะลงทุนนั้น ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่สูงที่สุดของนักลงทุนเลยก็ว่าได้ครับ

ซึ่งถ้าเราเข้าใจ แนวคิดการลงทุนของ Jitta Wealth แล้วละก็ จะทำให้เราลงทุนแล้วสบายใจ ถือกองทุนได้นาน ซึ่งการลงทุนระยะยาวนั้นจะลดโอกาสขาดทุนลงไปเรื่อยๆ และทำให้เราถึงเป้าหมายได้อย่างไม่ยากเย็นเลยละครับ

ถ้าใครอยากเข้าไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม หรือสนใจลงทุนก็สามารถเปิดพอร์ตการลงทุนได้ที่ jittawealth.com นะครับ

ขอให้นักลงทุนทุกท่านโชคดีในการลงทุน และมีความสุขในการลงทุนมากๆ นะครับ

ส่วนวันนี้ผมต้องขอลาไปก่อน สวัสดีครับ

บทความนี้เป็น Advertorial