สวัสดีครับ นักลงทุนทุกท่าน ปี ๆ นึงช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว นี่ก็มาเริ่มต้นปีกันอีกครั้งแล้วนะครับ ซึ่งก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี หากบางท่านอยากจะเริ่มต้นวางแผนการลงทุนของตนเอง นับจากนี้ไป

ในปีที่แล้วหากใครที่ลงทุนกับกองทุน หรือแม้แต่ลงทุนในหุ้นรายตัวนั้นก็คงจะพอทราบว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนในปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีที่ดีของการลงทุนในประเทศไทยอีกปี ถึงแม้ว่าระหว่างทางนั้นจะมีความผันผวนอยู่เรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำประชามติที่จะออกจากยูโรโซนของอังกฤษ หรือว่าการเลือกตั้งของสหรัฐ ฯ ที่มีการพลิกล็อกกันทั้ง 2 ครั้งแบบ งง ๆ ตามด้วยการประกาศขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ ฯ ที่ส่งผลต่อการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และผมเองก็เชื่อว่าจะมีผลต่อการลงทุนในปีนี้อย่างต่อเนื่องไปอีกทั้งปีครับ

ในปีที่ผ่านมานั้น หากใครลงทุนกับกองทุนหุ้นแบบวางแผนทยอยลงทุนไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ เดือนแล้วละก็ มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการซื้อกองทุนหุ้นในช่วงเดือนสุดท้ายของปี

ส่วนปีที่แล้วนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่ผลตอบแทนจากการลงทุนก็วิ่งสวนทางกันเสียอย่างนั้น (อ้าว !!)  เมื่อมีความไม่แน่นอนซะแบบนี้แล้วเราจะตัดสินใจลงทุนตอนไหนจึงจะได้ผลตอบแทนที่ดี โดยเฉพาะกับกองทุนยอดนิยมของคนไทย ที่ไม่ว่าจะซื้อด้วยการลดหย่อนภาษี หรือว่า​ซื้อเพื่อการลงทุนระยะยาวก็ตาม

ใช่ครับ ผมกำลังจะพูดถึงวิธีการซื้อกองทุน LTF/RMF นั่นเองครับ

โดยการลงทุนที่ดีนั้น มีหลาย ๆ ปัจจัยเป็นองค์ประกอบ แต่องค์ประกอบที่ผมคิดว่าจะช่วยทำให้การลงทุนของเราราบรื่นมากขึ้นนั่นก็คือ

1. ระยะเวลาการลงทุนนานพอ

ถ้าหากใครที่ถือกองทุน LTF/RMF มานานกว่า 3-5 ปีแล้วละก็จะทราบดีว่า โอกาสขาดทุนจากการลงทุนนั้นน้อยมากครับ โดย LTF ที่ติดลบในช่วง 3-5 ปีนั้น มีเพียงไม่กี่กองทุน (ไม่ถึง 5 กองทุน) แสดงให้เห็นถึงว่า ยิ่งเราลงทุนระยะยาวเท่าไหร่ โอกาสการขาดทุนก็จะยิ่งน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น การถือครองที่เพิ่มระยะเวลาการลงทุนจาก 5 ปีปฏิทิน กลายมาเป็น 7 ปีปฏิทิน ก็ยิ่งทำให้โอกาสการขาดทุนของผู้ที่ลงทุนใน LTF ลดลงไปอีกครับ

2. เข้าใจถึงสินทรัพย์ที่จะลงทุน

การลงทุนที่ดี เราต้องเข้าใจว่าสินทรัพย์ที่เราจะไปลงทุนนั้นไปลงทุนกับอะไร และมีความเสี่ยงแค่ไหน เราสามารถรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการลงทุนได้หรือไม่ ส่วนประเด็นสำคัญคือ เราต้องศึกษาให้ดีก่อนที่จะลงทุน โดยเราจะต้องเลือกกองทุนที่ดี ที่เราเห็นแล้วว่ามีโอกาสเติบโตได้จากแนวความคิด และกระบวนการลงทุนที่ถูกต้อง มีมาตรฐาน โปร่งใสไว้ใจได้ เช่น ถ้าเรารับความเสี่ยงได้สูงมาก โดยคาดหวังผลตอบแทนที่ดีสุด ๆ กองทุนหุ้น ที่มีแนวโน้มการเติบโต มีแนวทางการเลือกหุ้นที่ชัดเจน ผู้จัดการกองทุนเองก็สามารถอธิบายที่มาที่ไปในการเลือกหุ้นที่ดีได้ ก็น่าจะเป็นหนึ่งในทางเลือกการลงทุนครับ

3. ความมีวินัยในการลงทุน

จากสถิติย้อนหลัง 15 ปี มีเพียง 4 ปีเท่านั้น ที่ซื้อกองทุน LTF/RMF หุ้น ปลายปีแล้วจะได้หน่วยลงทุนที่ราคาถูกกว่าการเฉลี่ยซื้อทั้งปี (ถ้านับปีที่ผ่านมาด้วยจะเป็น 16 ปี และมีเพียง 4 ปีเท่านั้น) ดังนั้น ถ้าเราลงทุนอย่างมีแบบแผน สร้างวินัยในการลงทุนโดยมีการซื้อเฉลี่ยต้นทุนที่เราเรียกว่า Dollar Cost Average หรือ DCA แล้วละก็จะช่วยเพิ่มโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดี เพราะว่าการทำ DCA เองก็จะช่วยลดความผันผวนของสินทรัพย์เสี่ยงอย่างกองทุนหุ้น LTF/RMF ให้อีกทางหนึ่งด้วยครับ

ยิ่งในปีที่ผันผวนมาก ๆ อย่างปีที่ผ่านมา ถ้าหากเรามีการวางแผนที่ดีแล้วละก็ ผมบอกได้เลยครับว่าในปีที่ผ่านมานั้น มีโอกาสได้ผลตอบแทนเพิ่มเติมนอกเหนือจากการลงทุนแบบ DCA ธรรมดาอีกด้วยครับ อยากรู้แล้วสินะครับว่าจะทำอย่างไร ซึ่งเดี๋ยวเราจะมาคุยกันต่อในประเด็นถัดไปจากนี้ นั่นคือการวางแผนการลงทุนตั้งแต่ต้นปีด้วย DCA + Market timing นั่นเองครับ

วิธีการที่ผมชอบใช้ และ มักจะใช้อยู่เป็นประจำในการลงทุนกับกองทุน LTF/RMF ซึ่งก็ให้ผลที่ดี แถมก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเท่าไหร่ สามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้ครับ

  1. คำนวณเงินซื้อ LTF/RMF ก่อนว่า เราจะต้องลงทุนต่อปีเท่าไหร่ โดยคำนวณจากรายได้ คือ 15% ของรายได้ที่เสียภาษีนั่นเองครับ ทั้งนี้ผมคงไม่ได้ลงรายละเอียดถึงเงื่อนไขของกองทุน LTF/RMF เอาเป็นว่า ห้ามซื้อเกิน และ คำนวณให้ใกล้เคียงก็พอครับ เดี๋ยวนี้ก็มี Application หรือ website ที่ช่วยคำนวณเรื่อง LTF/RMF อยู่มากมายเลย
  2. แบ่งเงินที่คำนวณได้จากข้อแรก ออกเป็น 2 ก้อน เช่น คำนวณได้ว่าต้องซื้อ LTF เพื่อลดหย่อนภาษีทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 60,000 บาท ก็จะแบ่งออกเป็น 2 ก้อนเท่า ๆ กัน คือก้อนละ 30,000 บาท
  3. จากนั้นนำก้อนแรกไปลงทุนแบบ DCA ครับ ซื้อกองทุนไปเลยทุกเดือนเพื่อความเป็นวินัย และเราก็ควรที่จะใช้ระบบตัดเงินลงทุนอัตโนมัติไปเลย เช่น ถ้าหากผมมีบัญชีกองทุนของกสิกรไทย ก็อาจเลือกใช้บริการ K- Saving plan หรือบริการลงทุนรายงวดในกองทุนรวมกสิกรไทย เริ่มต้นที่ 500 บาทต่อเดือน จะให้ตัดจากบัญชีเงินฝาก หรือจะตัดผ่านบัตรเครดิตกสิกรไทยก็ได้เช่นกัน
  4. ส่วนเงินก้อนที่เหลืออีกประมาณ 30,000 บาท ก็เก็บเอาไว้ไปลงทุนเพิ่มเติมในช่วงที่หุ้นปรับตัวลงมาถึงจุดที่น่าสนใจ….หลาย ๆ คนถามว่า จุดที่น่าสนใจคือจุดไหนล่ะ…?? ผมมีวิธีง่ายๆ ในการลงทุนกับช่วงที่หุ้นปรับตัวลดลงมาเยอะ ๆ ครับ นั่นก็คือ ดูจาก P/E เฉลี่ยของตลาดหุ้นไทย ถ้าหากหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาต่ำกว่า P/E เฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยในอดีต ก็ถือว่าเริ่มเป็นจุดที่น่าสนใจในการลงทุนเพิ่มเติมแล้วละครับ แต่ทั้งนี้ก็คงต้องดูถึงการเติบโตในอนาคตด้วยนะครับว่า แนวโน้มการเติบโตของหุ้นในตลาด ฯ หรือว่าภาพเศรษฐกิจโดยรวมยังคงไปได้หรือไม่ ซึ่งข้อมูลก็ไม่ได้หายากเลยครับ เพียงแค่สอบถามพนักงานที่ดูแลพอร์ตกองทุนของท่านอยู่นั่นเองครับ หรืออีกวิธีก็คือ เมื่อราคาหน่วยลงทุนของกองทุนปรับตัวลดลงมากกว่า ราคาหน่วยลงทุนเฉลี่ยของกองทุนที่เราถือ