สวัสดีครับผม!!! อัศวินกองทุนยุค Digital กลับมาแล้วครับ

สหรัฐฯ, ไทย, ญี่ปุ่น ทั้ง 3 ตลาดที่ว่ามานั้นมีปัจจัยบวกที่ทำให้ไปต่อชัดเจนมากขึ้นแล้วล่ะครับ ส่วนตลาดยุโรปนั้นมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวในช่วงนี้และการลดความกังวลของนักลงทุนลงกรณีอิตาลียังคงอยู่ในยูโรโซน

สรุปประเด็นทุกตลาดสำคัญที่น่าสนใจลงทุน พร้อมกับมุมมองแบบนี้ได้ทุกสัปดาห์ ที่นี่ที่เดียวครับ

Focus ประเทศน่าลงทุนประจำสัปดาห์ที่ 5 - 9 พฤศจิกายน 2561

ซื้อ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ไทย ยุโรป ตลาดอื่นสะสมได้ต่อ

เหตุผล : ทั้ง 3 ตลาดเดิมนั้นมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจ และน่าสนใจ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่มีผลประกอบการออกมาดีกว่าที่คาดไว้ และปัจจัยอื่นๆ ยังดีอยู่ ส่วนยุโรปที่เพิ่มเข้ามาในสัปดาห์นี้ ถือว่ามีความแข็งแกร่งจากเศรษฐกิจยุโรปที่ขยายตัวดีขึ้น ขณะที่ ECB ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้น่าสนใจในตอนนี้ครับ

Focus : สหรัฐฯ ไทย ญี่ปุ่น และยุโรป

ความน่าสนใจ :  ทั้ง 4 ตลาดมีความเข้มแข็งของเศรษฐกิจในประเทศ ประกอบกับมีปัจจัยบวกภายในประเทศมาช่วยกระตุ้นด้วยครับ

Scan การปรับตัวตลาดหุ้นทั่วโลก

ตลาดหุ้นทั่วโลกมีการปรับตัวขึ้นหลังจากทรัมป์ได้มีการพูดกับประธานาธิบดีของจีน เรื่องสงครามการค้า ทำให้ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีน ลดลงมากครับ สะท้อนจากการดีดตัวของตลาดในสัปดาห์ที่ผ่านมา

ในขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงออกมาดี เช่น ผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯยังคงออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด ส่วนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม ซึ่งโดยปกติดตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักให้ผลตอบแทนเชิงบวกกับเรื่องนี้อยู่เสมอ

สัปดาห์นี้ ผมยังคงแนะนำให้ซื้อหุ้นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ยุโรป และไทย เนื่องจากมองว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่ง

ภาพรวมการลงทุน

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ครับ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯนั้นค่อนข้างแข็งแกร่งอยู่ และยังมีนโยบายลดภาษี ที่ช่วยส่งผลบวกต่อการขยายตัวเศรษฐกิจต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังน่าสนใจอยู่ครับ ร่วมกับการคลี่คลายความตึงเครียดกับจีน ยิ่งทำให้ตอนนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ น่าสนใจครับ

สรุปสั้นๆ : ถ้ายังไปต่อ เราก็ซื้อต่อไปเหมือนเดิมครับ

ตลาดหุ้นยุโรป

สัปดาห์นี้แนะนำให้ซื้อหุ้นยุโรปเลยครับ เนื่องจากเศรษฐกิจยุโรปมีการขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ ECB ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ  ประกอบกับความกังวลจากอิตาลีผ่อนคลายหลังจากผลโพลที่ชี้ว่าประชาชนยังคงสนับสนุนการอยู่ในยูโรโซน ซึ่งน่าจะส่งผลให้รัฐบาลอิตาลีประนีประนอมกับยุโรปมากขึ้น

สรุปสั้นๆ : ยังสะสมต่อได้ แต่เลือกหุ้นเล็กไว้ ใหญ่ๆ ไม่เอานะครับ

ตลาดหุ้นญี่ปุ่น

ผลของการที่นายชินโซะ อาเบะ จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นหัวหน้าพรรครัฐบาลปัจจุบันหรือ LDP ต่อ ซึ่งจะส่งผลให้นโยบายเศรษฐกิจมีความต่อเนื่องมากขึ้น ยังคงเป็นปัจจัยหลักอยู่ครับที่ทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นน่าสนใจ และในอีกแง่หนึ่งคือ ช่วงไตรมาสนี้บริษัทจดทะเบียนในญี่ปุ่นจะมีการซื้อหุ้นคืนสูงขึ้น ซึ่งจะสนับสนุนราคาหุ้นให้เพิ่มสูงขึ้นได้ครับ ซึ่งตอนนี้ถือเป็นจังหวะที่เหมาะในการซื้อครับ

สรุปสั้นๆ : ซื้อต่อได้ครับ!

ตลาดหุ้นเกาหลี

สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นเกาหลียังคงผันผวนเหมือนเดิมครับ จากการที่ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI Index) ของประเทศจีนและสหรัฐฯ มีการชะลอตัวและต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ รวมถึงความเสี่ยงจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่เริ่มอ่อนแอลง แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมมองว่าตอนนี้ยังเป็นจังหวะสะสมได้อยู่ครับ

สรุปสั้นๆ : สะสมได้ สะสมต่อไปได้ครับ

ตลาดหุ้นอินเดีย

ตลาดปรับตัวขึ้นมาในสัปดาห์นี้ ซึ่งสะท้อนว่าจริงๆ แล้ว เศรษฐกิจของประเทศอินเดียยังคงขยายตัวได้ดีตามที่วิเคราะห์ไว้ครับ และยังสามารถไปต่อได้ ซึ่งปัจจัยที่มากดดันอย่างเรื่องของเงินรูปีที่อ่อนค่า กับ เรื่องของนายกรัฐมนตรีที่ได้รับความนิยมลดลงนั้นอาจจะเป็นเพียงผลกระทบระยะสั้นเท่านั้น ดังนั้นในช่วงจังหวะนี้ยังสะสมต่อไปได้ครับ

สรุปสั้นๆ : ยังคงทยอยสะสมได้อีกเช่นเคย

ตลาดหุ้นไทย

กลับมาแล้วครับหุ้นไทยของเรา หลังจากที่ช่วงสัปดาห์ก่อนลงไปแบบสุดใจ สัปดาห์นี้กลับมาดีดตัวให้หายเครียดกันได้ครับ อย่างที่บอกไปครับว่าถ้ามองภาพรวมพื้นฐานเศรษฐกิจไทย ผมเชื่อว่ายังมีแนวโน้มขยายตัวดีอยู่ จากปัจจัยสำคัญ คือ การเลือกตั้งที่จะมีในต้นปีหน้า ที่ช่วยสนับสนุนบรรยากาศในการลงทุนตอนนี้

ถ้าสัปดาห์ที่แล้วใครซื้อตามที่ผมบอก ถือว่าสัปดาห์นี้ยิ้มออกแน่นอนครับ

สรุปสั้นๆ : ใคร (กล้า) ซื้อได้ ซื้อต่อไปครับ

ตลาดหุ้นจีน

ตอนนี้กลับมาทยอยสะสมหุ้นได้ทั้ง A-SHARE และ H-SHARE แล้วครับ เนื่องจากทางฝั่งของตลาดหุ้นจีน A-SHARE ปรับตัวลงมา 30% จากจุดสูงสุดในปีนี้ ทำให้ Valuation ปรับตัวลงมาในจุดที่น่าสนใจมากๆ แล้วครับ

ทางฝั่งรัฐบาลจีนเองก็มีการประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น ลดภาษีสินค้าการนำเข้า ลดภาษีนิติบุคคล และล่าสุดทางลุงทรัมป์แกมีท่าทีอ่อนลงในการเจรจากับจีนเรื่องการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าอีกที สังเกตได้จากทวิตล่าสุดของแกนั่นแหละครับ ฮ่าๆ

สำหรับฝั่ง H-SHARE ยังไปต่อได้เรื่อยๆ ครับ เน้นทยอยสะสมไปครับผม

สรุปสั้นๆ : สัปดาห์นี้สะสมได้ทั้งสองตลาดครับ

แนะนำการลงทุนประจำสัปดาห์

ตลาดตราสารทุน : ซื้อหุ้นสหรัฐฯ, หุ้นญี่ปุ่น,หุ้นยุโรป หุ้นไทย ทยอยสะสมหุ้นเกาหลี หุ้น H-SHARE, หุ้นอินเดีย และหุ้น A-SHARE

ตลาดตราสารหนี้ : แนะนำลงทุนตราสารหนี้ High Yield ต่างประเทศ ส่วนตราสารหนี้ไทยแนะนำให้ซื้อตราสารหนี้ไทยระยะสั้น

สินทรัพย์ทางเลือก : ทยอยสะสมน้ำมันและทองคำ

สัดส่วนการลงทุนประจำสัปดาห์ : ระดับความเสี่ยงต่ำ

พอร์ตการลงทุนระยะยาว

  • หุ้นไทย 12%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 44%
  • ตราสารหนี้ไทย 44%

พอร์ตการลงทุนระยะสั้น

  • หุ้นไทย 16%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 42%
  • ตราสารหนี้ไทย 42%

สัดส่วนการลงทุนประจำสัปดาห์ : ระดับความเสี่ยงกลาง

พอร์ตการลงทุนระยะยาว

  • หุ้นต่างประเทศ 24%
  • หุ้นไทย 30%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 20%
  • ตราสารหนี้ไทย 20%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ 6%

พอร์ตการลงทุนระยะสั้น

  • หุ้นต่างประเทศ 26%
  • หุ้นไทย 34%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 17%
  • ตราสารหนี้ไทย 17%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ : ทองคำ 3%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ : น้ำมัน 3%

สัดส่วนการลงทุนประจำสัปดาห์ : ระดับความเสี่ยงสูง

พอร์ตการลงทุนระยะยาว

  • หุ้นต่างประเทศ 40%
  • หุ้นไทย 42%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 5%
  • ตราสารหนี้ไทย 5%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ 8%

พอร์ตการลงทุนระยะสั้น

  • หุ้นต่างประเทศ 42%
  • หุ้นไทย 46%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 2%
  • ตราสารหนี้ไทย 2%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ : ทองคำ 4%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ : น้ำมัน 4%

“ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน” ข้อมูลจาก Bloomberg ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2561

ทั้งนี้ เอกสารนี้จัดทำโดย นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มจัดสรรสินทรัพย์และกองทุนต่างประเทศ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับเผยแพร่ทั่วไป

โดยข้อคิดเห็นและบทความในเอกสารฉบับนี้ เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ผู้ใช้ข้อมูลนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวังด้วยวิจารณญาณของตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วยตนเอง