สวัสดีครับผม!!! อัศวินกองทุนยุค Digital กลับมาแล้วครับ

สัปดาห์นี้สถานการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ไม่ค่อยดีเท่าไร ตลาดอื่นก็ยังผันผวนอยู่ แต่ภาพรวมที่ดีอยู่ที่ไทยและญี่ปุ่นครับผม

สรุปประเด็นทุกตลาดสำคัญที่น่าสนใจลงทุน พร้อมกับมุมมองแบบนี้ได้ทุกสัปดาห์ ที่นี่ที่เดียวครับ

Focus ประเทศน่าลงทุนประจำสัปดาห์ที่ 11- 14 ธันวาคม 2561

ชะลอลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังซื้อตลาดหุ้นไทย ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ที่เหลือทยอยสะสมได้เรื่อยๆ

เหตุผล : ตอนนี้สหรัฐฯมีการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจ ควรชะลอดูท่าทีไปก่อน แต่ยังเน้นซื้อไทยและญี่ปุ่นเป็นหลัก ส่วนตลาดอื่นทยอยสะสมได้เรื่อยๆ

Focus : ไทยและญี่ปุ่น

ความน่าสนใจ : พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวดี จากเม็ดเงินลงทุนจากกองทุน LTF RMF ปลายปี บวกกับปัจจัยการเลือกตั้งปีหน้า ส่วนทางญี่ปุ่นนั้น GDP มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น

Scan การปรับตัวตลาดหุ้นทั่วโลก

ตลาดหุ้นทั่วโลกคอนข้างผันผวนในสัปดาห์ที่ผ่านมาครับ ถึงแม้ว่าสหรัฐฯ ตกลงชะลอการขึ้นภาษีการค้ากับจีนออกไปอีก 90 วัน แต่อย่างไรก็ตามตลาดกลับมากังวลประเด็นข่าว CFO ของบริษัท Huawei หรือคุณ Meng Wanzhou ถูกจับกุมตัวที่สนามบินแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ด้วยคำสั่งของสหรัฐอเมริกา  เนื่องจากบริษัท Huawei Technologies กำลังถูกพิจารณาว่าบริษัทได้ละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐอเมริกาต่ออิหร่าน ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคในการเจรจาการค้า

นอกจากนั้น ตอนนี้ผมแนะนำให้จับตาการประชุมสภาของรัฐบาลอังกฤษเพื่อหาข้อสรุปเรื่อง Brexit  ในวันที่ 11 ธันวาคม ซึ่งจะสร้างความผันผวนให้ตลาดหุ้นหากสภาของอังกฤษไม่ผ่านมติที่ Theresa May เสนอแน่นอนครับ อันนี้ก็ต้องลุ้นกันต่อไป

ดังนั้น สัปดาห์นี้ผมแนะนำให้นักลงทุนปรับพอร์ตโดยลดการลงทุนในตราสารทุนบางส่วนลง เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะขยายตัวลดลง ส่งผลให้ความผันผวนสูงขึ้นครับผม ดังนั้นระวังกันหน่อยนะครับ

ภาพรวมการลงทุน

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ

สัปดาห์นี้แนะนำให้ชะลอการลงทุนหุ้นสหรัฐฯ จากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงครับ เนื่องจากการหดตัวของราคาตลาดบ้านและการลงทุนภาคเอกชน ในขณะที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มถูกปรับตัวลดลงอีกด้วยครับ ดังนั้นรอก่อนนะครับ

สรุปสั้นๆ : ชะลอก่อนนะครับ

ตลาดหุ้นยุโรป

ทยอยสะสมหุ้นยุโรปได้เรื่อยๆครับ ถึงแม้เศรษฐกิจยุโรปปรับตัวลดลง จากความกังวลเรื่องนโยบายการยื่นขาดดุลการคลังของ Italy และการเจรจาการ Brexit อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าตอนนี้ราคาหุ้นปัจจุบันสะท้อนในราคาที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต ในขณะที่นักวิเคราะห์มองว่าผลประกอบการยังดีอยู่ จึงยังเป็นโอกาสที่ดีในการทยอยสะสมต่อได้ครับ

สรุปสั้นๆ : ยังทยอยสะสมต่อได้ครับ

ตลาดหุ้นญี่ปุ่น

ตอนนี้แนะนำให้ซื้อตลาดญี่ปุ่นได้เลยครับ เนื่องจากการคาดการณ์ตัวเลข GDP มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากการบริโภคในประเทศและการลงทุนเอกชนที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งแรงสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ และนโยบายการเงินของ BOJ จะส่งผลบวกต่อการขยายตัวเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องครับ เรียกว่าปัจจัยดีๆทุกอย่างมาสนับสนุนในตอนนี้เลยครับผม

สรุปสั้นๆ : ซื้อได้ครับ จัดได้จ้า

ตลาดหุ้นเกาหลี

ยังสะสมได้ต่อครับสำหรับตลาดเกาหลี จากเหตุผลเดิมที่ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI Index) ที่เคยพูดไว้ในสัปดาห์ก่อน และ Valuation ถูกปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 13 ปี อาจทำให้มี Downside Risk ลดลง และราคาสะท้อนถึงความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกไว้แล้ว จึงเป็นโอกาสดีในการเข้าสะสมครับ

สรุปสั้นๆ : สะสมต่อได้เรื่อยๆ ครับ

ตลาดหุ้นอินเดีย

ยังคงเหมือนเดิมครับ สำหรับสัปดาห์นี้ ยังคงให้สะสมหุ้นอินเดียต่อไปครับ ด้วยเหตุผลเดิมเช่นกัน คือค่าเงินรูปีเริ่มกลับมาแข็งค่าจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงมา และคะแนนความนิยมของนายกรัฐมนตรีโมดีที่ลดลง ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศอินเดียยังคงขยายตัวได้ดี

สรุปสั้นๆ : ทยอยสะสมได้เรื่อยๆครับ

ตลาดหุ้นไทย

ยังเหมือนเดิมครับ สัปดาห์นี้ยังซื้อต่อได้เหมือนเดิมครับ ผมมองว่าพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดีต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว ทั้งเม็ดเงินลงทุนจากกองทุน LTF RMF ช่วงปลายปี ทั้งปัจจัยเรื่องการเลือกตั้ง และราคาตลาดหุ้นปรับตัวลงตามราคาน้ำมันโลก ทำให้เป็นโอกาสในซื้อหุ้นไทยครับ

สรุปสั้นๆ : ปัจจัยดีแบบนี้ ซื้อต่อไปจ้า

ตลาดหุ้นจีน

สัปดาห์นี้ยังคงให้สะสมหุ้นทั้ง A-SHARE และ H-SHARE ครับ จากที่หุ้นจีน A-SHARE ปรับตัวลงมา 30% จากจุดสูงสุดในปีนี้ และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น ลดภาษีสินค้าการนำเข้า ลดภาษีนิติบุคคล

สรุปสั้นๆ : ทยอยสะสมตามเดิมครับ

แนะนำการลงทุนประจำสัปดาห์

ตลาดตราสารทุน : ชะลอลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซื้อตลาดหุ้นไทย ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ที่เหลือทยอยสะสมได้เรื่อยๆ 

ตลาดตราสารหนี้ : แนะนำลดการลงทุนในตราสารหนี้ที่ต่ำกว่า InvestmentGrade ส่วนตราสารหนี้ไทยแนะนำให้ซื้อตราสารหนี้ไทยระยะสั้น

สินทรัพย์ทางเลือก : ทยอยสะสมน้ำมันและซื้อทองคำ

สัดส่วนการลงทุนประจำสัปดาห์ : ระดับความเสี่ยงต่ำ

พอร์ตการลงทุนระยะยาว

  • หุ้นไทย 12%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 44%
  • ตราสารหนี้ไทย 44%

พอร์ตการลงทุนระยะสั้น

  • หุ้นไทย 16%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 42%
  • ตราสารหนี้ไทย 42%

สัดส่วนการลงทุนประจำสัปดาห์ : ระดับความเสี่ยงกลาง

พอร์ตการลงทุนระยะยาว

  • หุ้นต่างประเทศ 24%
  • หุ้นไทย 30%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 20%
  • ตราสารหนี้ไทย 20%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ 6%

พอร์ตการลงทุนระยะสั้น

  • หุ้นต่างประเทศ 24%
  • หุ้นไทย 34%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 17%
  • ตราสารหนี้ไทย 18%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ : ทองคำ 4%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ : น้ำมัน 3%

สัดส่วนการลงทุนประจำสัปดาห์ : ระดับความเสี่ยงสูง

พอร์ตการลงทุนระยะยาว

  • หุ้นต่างประเทศ 40%
  • หุ้นไทย 42%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 5%
  • ตราสารหนี้ไทย 5%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ 8%

พอร์ตการลงทุนระยะสั้น

  • หุ้นต่างประเทศ 40%
  • หุ้นไทย 46%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 2%
  • ตราสารหนี้ไทย 3%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ : ทองคำ 5%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ : น้ำมัน 4%

“ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน” ข้อมูลจาก Bloomberg ณ วันที่ 6 ธันวาคม 2561

ทั้งนี้ เอกสารนี้จัดทำโดย นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มจัดสรรสินทรัพย์และกองทุนต่างประเทศ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับเผยแพร่ทั่วไป

โดยข้อคิดเห็นและบทความในเอกสารฉบับนี้ เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ผู้ใช้ข้อมูลนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวังด้วยวิจารณญาณของตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วยตนเอง