สวัสดีครับผม!!! อัศวินกองทุนยุค Digital กลับมาแล้วครับ

สัปดาห์นี้ยังเหมือนเดิมครับ เน้นซื้อหุ้นไทยและญี่ปุ่น  เนื่องจากความแข็งแกร่งหลายด้าน และโอกาสที่เม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติจะไหลเข้ามาครับผม

สรุปประเด็นทุกตลาดสำคัญที่น่าสนใจลงทุน พร้อมกับมุมมองแบบนี้ได้ทุกสัปดาห์ ที่นี่ที่เดียวครับ

Focus ประเทศน่าลงทุนประจำสัปดาห์ที่ 19 - 23 พฤศจิกายน 2561

ซื้อญี่ปุ่นและไทย (ต่อ) ส่วนตลาดอื่นสะสมรอไปเรื่อยๆ

เหตุผล : ตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับประเทศในตลาดเกิดใหม่ ส่วนญี่ปุ่นนั้นยังมีโอกาสในช่วงนี้เนื่องจากการซื้อหุ้นคืน และดัชนีต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงโอกาสในการเข้าซื้อของนักลงทุนต่างชาติ 

Focus : ไทย และ ญี่ปุ่น

ความน่าสนใจ :  ตลาดไทยมีความเข้มแข็งจากเศรษฐกิจในประเทศเมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่ ส่วนญี่ปุ่นยังคงน่าสะสมจากปัจจัยด้านราคาและการเข้าสะสมของนักลงทุนต่างชาติ

Scan การปรับตัวตลาดหุ้นทั่วโลก

ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงมีความผันผวนอยู่ครับ เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงแรง หลังจาก OPEC ออกมาปรับคาดการณ์การเติบโตของความต้องการใช้น้ำมันดิบโลกในปีหน้าลง จากสงครามทางการระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่ยังคุกรุ่นอยู่ในตอนนี้ครับ

ทางฝั่งยุโรปตอนนี้ นายกรัฐมนตรีของอังกฤษสามารถเจรจาหาข้อตกลงลง Brexit กับ EU ได้แล้ว อย่างไรก็ตามข้อตกลงนี้สร้างแรงกดดันต่อนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ทำให้เสถียรภาพทางการเมืองของอังกฤษอยู่ในช่วงสั่นคลอนอยู่ครับ

ยังคงแนะนำให้นักลงทุนซื้อหุ้นญี่ปุ่นและไทย เนื่องจากผมมองว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในไทยยังมีความแข็งแกร่งอยู่เมื่อเทียบกับประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ประกอบกับตอนนี้สถานะนักลงทุนต่างชาติมีโอกาสสะสมเพิ่มด้วย หลังจากขายมาตั้งแต่ต้นปี (จะขายไปถึงไหนกัน)  นอกจากนั้นช่วงสิ้นปีบริษัทจดทะเบียนในญี่ปุ่นจะมีการประกาศการซื้อหุ้นคืน และดัชนีชี้วัดผู้จัดการฝ่ายซื้อปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือนตุลาคม ซึ่งจะสนับสนุนตลาดหุ้นญี่ปุ่นอีกทางหนึ่ง

ภาพรวมการลงทุน

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ยังคงมีมุมมองเหมือนสัปดาห์ก่อนครับ ผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ครับ นั่นคือสิ่งที่บอกว่าเศรษฐกิจยังดีอยู่ครับ นอกจากนั้นยังมีนโยบายลดภาษี ที่ช่วยส่งผลบวกต่อการขยายตัวเศรษฐกิจต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไปต่อได้ครับ

สรุปสั้นๆ : ทยอยสะสมต่อครับ

ตลาดหุ้นยุโรป

ทยอยสะสมหุ้นยุโรปต่อไปครับ ในขณะที่ตอนนี้ ECB ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ แต่ประเด็น Brexit ยังคงสร้างความผันผวนได้อยู่ครับ ดังนั้นทยอยสะสมกันต่อไป แต่ยังไงก็คอยดูสถานการณ์ด้วยนะครับผม

สรุปสั้นๆ : ยังสะสมต่อได้ครับ

ตลาดหุ้นญี่ปุ่น

ยังอยู่ที่เหตุผลเดิมครับ เนื่องจากช่วงไตรมาสนี้บริษัทจดทะเบียนในญี่ปุ่นจะมีการซื้อหุ้นคืนสูงขึ้น ซึ่งจะสนับสนุนราคาหุ้นให้เพิ่มสูงขึ้นได้ครับ ซึ่งตอนนี้ถือเป็นจังหวะที่เหมาะในการซื้อต่ออยู่ครับ

อีกประเด็นคือ การที่ นายชินโซะ อาเบะ จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นหัวหน้าพรรครัฐบาลปัจจุบันหรือ LDP ต่อ ซึ่งจะส่งผลให้นโยบายเศรษฐกิจมีความต่อเนื่องมากขึ้นนั้น ถือเป็นข้อบ่งชี้ที่ดีอยู่เช่นกันครับ (เป็นปัจจัยเดิม แต่คิดว่ายังมีผลต่อตลาดหุ้นในตอนนี้ครับ)

สรุปสั้นๆ : ซื้อต่อได้ครับ!

ตลาดหุ้นเกาหลี

ยังสะสมได้ต่อครับสำหรับตลาดเกาหลี จากเหตุผลเดิมที่ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI Index) ของประเทศจีนและสหรัฐฯ มีการชะลอตัวและต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ (เป็นปัจจัยเดิม) และความเสี่ยงของการผันผวนแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ทำให้เกาหลียังน่าสนใจอยู่ครับ

สรุปสั้นๆ : สะสมต่อได้เรื่อยๆ ครับ

ตลาดหุ้นอินเดีย

ตลาดหุ้นอินเดียยังมีการปรับตัวขึ้นมาในสัปดาห์นี้อีกเล็กน้อยครับ ซึ่งเป็นการสะท้อนตามสมมติฐานที่ว่าไว้เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนครับ

โดยรวมแล้วเศรษฐกิจของประเทศอินเดียยังคงขยายตัวได้ดี ส่วนปัจจัยที่มากดดันอย่างเรื่องของเงินรูปีที่อ่อนค่า กับ เรื่องของนายกรัฐมนตรีที่ได้รับความนิยมลดลงนั้น เริ่มจะคลี่คลายให้เห็นแล้วว่า จริงๆ แล้วหุ้นอินเดียนั้นมีความแข็งแกร่งซ่อนอยู่ครับ

สรุปสั้นๆ : ยังคงทยอยสะสมได้อีกเช่นเคย

ตลาดหุ้นไทย

หุ้นไทยยังคงผันผวนอยู่ ในสัปดาห์ที่ผ่านดัชนีก็ลดลงมาประมาณ 30 จุด ทำให้เรารู้สึกหวั่นใจเรื่อยๆ  แต่ถ้ายังเชื่อภาพรวมพื้นฐานเศรษฐกิจไทย ผมเชื่อว่ายังมีแนวโน้มขยายตัวดีอยู่ จากปัจจัยสำคัญ คือ การเลือกตั้งที่จะมีในต้นปีหน้า ที่ช่วยสนับสนุนบรรยากาศในการลงทุนตอนนี้ครับ

ถ้าสัปดาห์ที่แล้วใครซื้อตามที่ผมบอก ถือว่าสัปดาห์นี้ยิ้มออกแน่นอนครับ

สรุปสั้นๆ : ซื้อต่อได้ จากปัจจัยดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นครับ

ตลาดหุ้นจีน

สัปดาห์นี้ยังเหมือนเดิมครับ ผมแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นได้ทั้ง A-SHARE และ H-SHARE แล้วครับ ยังคงน่าสะสมเพราะตลาดหุ้นจีน A-SHARE ปรับตัวลงมา 30% จากจุดสูงสุดในปีนี้ครับ ประกอบกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น ลดภาษีสินค้าการนำเข้า ลดภาษีนิติบุคคล และปัญหากับทางสหรัฐฯ เรื่องกำแพงการค้าที่ลดลงครับ

สรุปสั้นๆ : ทยอยสะสมได้ทั้งสองตลาดครับ

แนะนำการลงทุนประจำสัปดาห์

ตลาดตราสารทุน : ซื้อหุ้นญี่ปุ่น หุ้นไทย ทยอยสะสมหุ้นสหรัฐฯ หุ้นยุโรป หุ้นเกาหลี หุ้น H-SHARE หุ้นอินเดีย และหุ้น A-SHARE

ตลาดตราสารหนี้ : แนะนำลงทุนตราสารหนี้ High Yield ต่างประเทศ ส่วนตราสารหนี้ไทยแนะนำให้ซื้อตราสารหนี้ไทยระยะสั้น

สินทรัพย์ทางเลือก : ทยอยสะสมน้ำมันและทองคำ

สัดส่วนการลงทุนประจำสัปดาห์ : ระดับความเสี่ยงต่ำ

พอร์ตการลงทุนระยะยาว

  • หุ้นไทย 12%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 44%
  • ตราสารหนี้ไทย 44%

พอร์ตการลงทุนระยะสั้น

  • หุ้นไทย 16%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 42%
  • ตราสารหนี้ไทย 42%

สัดส่วนการลงทุนประจำสัปดาห์ : ระดับความเสี่ยงกลาง

พอร์ตการลงทุนระยะยาว

  • หุ้นต่างประเทศ 24%
  • หุ้นไทย 30%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 20%
  • ตราสารหนี้ไทย 20%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ 6%

พอร์ตการลงทุนระยะสั้น

  • หุ้นต่างประเทศ 25%
  • หุ้นไทย 34%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 17%
  • ตราสารหนี้ไทย 18%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ : ทองคำ 3%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ : น้ำมัน 3%

สัดส่วนการลงทุนประจำสัปดาห์ : ระดับความเสี่ยงสูง

พอร์ตการลงทุนระยะยาว

  • หุ้นต่างประเทศ 40%
  • หุ้นไทย 42%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 5%
  • ตราสารหนี้ไทย 5%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ 8%

พอร์ตการลงทุนระยะสั้น

  • หุ้นต่างประเทศ 41%
  • หุ้นไทย 46%
  • ตราสารหนี้ต่างประเทศ 2%
  • ตราสารหนี้ไทย 3%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ : ทองคำ 4%
  • สินค้าโภคภัณฑ์ : น้ำมัน 4%

“ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน” ข้อมูลจาก Bloomberg ณ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2561

ทั้งนี้ เอกสารนี้จัดทำโดย นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มจัดสรรสินทรัพย์และกองทุนต่างประเทศ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับเผยแพร่ทั่วไป

โดยข้อคิดเห็นและบทความในเอกสารฉบับนี้ เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ผู้ใช้ข้อมูลนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวังด้วยวิจารณญาณของตนเองและรับผิดชอบในความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วยตนเอง