[WEEKLY OUTLOOK กับอัศวินกองทุน] สรุปภาพรวมการลงทุน ช่วงวันที่ 28 พฤศจิกายน  - 2 ธันวาคม 2559

สวัสดีคร้าบบบบ กลับมาพบกันอีกแล้วกับ Weekly Outlook ครั้งที่ 24 แน่นอนครับว่า ผม “อัศวินกองทุน” เจ้าเก่าเจ้าเดิม ยังอยู่เหมือนเช่นเคย (จะให้ไปไหนล่ะครับ อิอิ) แต่สำหรับสัปดาห์นี้เรามาวิเคราะห์มุมมองการลงทุนประจำสัปดาห์ที่ 28 พฤศจิกายน  - 2 ธันวาคม 2559 กันต่อเลยครับ

แนวโน้มในตอนนี้ ผมมองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจรอบโลกดูจะมีความชัดเจนขึ้น เมื่อผลการเลือกตั้งในสหรัฐฯออกมาจนได้ประธานาธิบดีคนใหม่ คือ Donald Trump ซึ่งผมดูๆแล้ว ทาง Trump เองมีความชัดเจนที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ด้วยการลดข้อจำกัดทางกฏหมายต่างๆ รวมถึงลดการขาดดุลทางการค้า และกระตุ้นการลงทุนด้วยการใช้จ่ายภาครัฐ (Fiscal Spending) ครับ

แต่ในขณะเดียวกัน ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรปจะถูกกดดันจากความกังวลต่อการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญของอิตาลี ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและตลาดหุ้นที่จะเพิ่มความผันผวนขึ้น

แบบนี้การลงทุนของเราจะเป็นอย่างไรต่อไป รับฟังรับชมกันได้เลยครับผม!!

คลิกเพื่อดูภาพใหญ่

สรุปภาพรวมประจำสัปดาห์
“ติดตามผลการทำประชามติของอิตาลีที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 4 ธ.ค. 59 นี้”

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (+)

ทางฝั่งสหรัฐ ผมคาดว่าผลของนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ เช่น การลดการควบคุมธุรกิจธนาคาร ร่วมกับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมัน ไปจนถึงการคาดการณ์ผลประกอบการบริษัทที่ดีขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นมีโอกาสปรับขึ้นต่อไปครับ แบบนี้ยังคงเหมือนเดิมคือการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐต่อไปครับ

ตลาดหุ้นยุโรป  (=)

ผมมองว่า ทางตลาดหุ้นยุโรปจะยังถูกกดดันจากความกังวลต่อการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญของอิตาลี ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและตลาดหุ้นจะเพิ่มความผันผวนมากขึ้นครับ ท่าทีแบบนี้ ความไม่แน่นอนแบบนั้น เราควรอยู่ให้มั่นโดยการคงสัดส่วนเพื่อดูสถานการณ์กันต่อไปครับ

ตลาดหุ้นจีน (A-SHARE = / H-SHARE +)

ทางฝั่งตลาดหุ้น H-SHARE เป็นตลาดที่มีอัตราส่วนกำไรเมื่อเทียบกับราคา (P/E) ที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ แบบนี้ผมมองว่าน่าจะเป็นจังหวะเข้าสะสมโดยการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนครับ

แต่ในส่วนของตลาดหุ้น A-SHARE นั้น ผมมองว่าตลาดได้สะท้อนการรับรู้รายได้ไปค่อนข้างมากแล้ว หลังจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมา จึงแนะนำให้ขายทำกำไรออกไปและลดสัดส่วนการลงทุนจากสัปดาห์ก่อนมาเป็น คงการลงทุนไว้ น่าจะดีกว่าครับ

ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (=)

ค่าเงินดอลลาร์ได้สะท้อนการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่การทำประชามติในอิตาลีอาจจะส่งผลให้ตลาดหุ้นเพิ่มความผันผวน และอาจส่งผลให้ค่าเงินเยนกลับมาแข็งค่าเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น แบบนี้เห็นทีว่าเราอยุ่เฉยๆ คงการลงทุนกันไปก่อนดีกว่าครับ

ตลาดหุ้นเกาหลี (=)

มาดูเกาหลีกันบ้างครับ ตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย. มาการคาดการณ์ผลประกอบการบริษัทเป็นไปในทางบวก แต่ตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคกลับลดลง แบบนี้ความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่ครับ ผมขอแนะนำให้รอดูสถานการณ์ลงทุนไปก่อนดีกว่าครับ

ตลาดหุ้นไทย (+)

ผมเชื่อว่าจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะทยอยประกาศออกมาในช่วงปลายปี ทั้งมาตรการลดหย่อนทางภาษีเพิ่มเติม และมาตรการในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยอีกต่างหาก ซึ่งจะส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังคาดว่าจะมีเม็ดเงินจากการลงทุนใน LTF เข้าสู่ตลาดในช่วงเดือนสุดท้ายของปีและสนับสนุนการปรับตัวเพิ่มขึ้นตลาดหุ้นไทยอีกด้วย แบบนี้ช่วยกันครับ เพิ่มสัดส่วนการลงทุนกันเข้าไปยาวๆในช่วงปลายปีนี้ครับ

ตลาดหุ้นอินเดีย (+)

ดูๆแล้วตามพื้นฐานเศรษฐกิจของอินเดียนั้น ยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีจากการบริโภคภายในประเทศ และผลจากนโยบายการปฏิรูปโครงสร้างภาษี นอกจากนี้การปรับตัวลงของตลาดในช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนปัจจัยลบต่างๆไปมากแล้ว ส่งผลให้ตลาดหุ้นอินเดียมีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้นในแง่ของราคาต่อมูลค่าพื้นฐานครับ ผมว่าโอกาสดีนั้นยังมีอยู่ต่อเนื่องมาจากสัปดาห์ก่อน เพิ่มสัดส่วนการลงทุนต่อไปครับ

เงินสดและกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น  (-)

ยังเหมือนเช่นเคย เพิ่มเติมคือพิมพ์ซ้ำครับ “ความผันผวนของตลาดหุ้นมีแนวโน้มลดลง นักลงทุนควรลดการถือครองเงินสด และ หาการลงทุนที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น”

น้ำมัน (+)

จากสถานการณ์ในตอนนี้ ผมคาดการณ์ว่า กลุ่มโอเปค จะบรรลุข้อตกลงในการควบคุมการผลิต และอิรักมีแนวโน้มที่จะลดการผลิตลง ประกอบกับการรายงานตัวเลข Inventory ของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นเพียง 1ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ดังนั้นถือเป็นโอกาสในการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนของน้ำมันต่อไปครับ

ทองคำ (+)

ความคาดหวังว่า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของ ทรัมป์ จะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯจำเป็นต้องมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยที่ความน่าจะเป็นที่ธนาคารกลางสหร้ฐฯ ได้เพิ่มขึ้นจนเกือบถึง 100% แล้ว ในขณะเดียวกัน การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ได้สะท้อนการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปค่อนข้างมากแล้ว ดังนั้นผมคาดว่าในระยะถัดไปทองคำมีแนวโน้มปรับตัวลงไม่มากครับ ยังสามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนได้อยู่ครับผม

ตราสารหนี้ไทย (=)

ดัชนีพันธบัตรรัฐบาลไทยช่วงอายุ 1-3 ปีปรับตัวลงจากการขายของนักลงทุนต่างชาติ แต่การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลยังมีความน่าสนใจในแง่การกระจายความเสี่ยงครับผม