พอจั่วหัวด้วยคำว่า Passive Income หลายคนอาจจะตกใจ คิดว่าผมจะมาแชร์วิธีสร้าง Passive Income เหมือนกลุ่มธุรกิจเครือข่ายรึเปล่า ? อาจจะมีบางคนที่เคยเอาคำเหล่านี้มาพูดเล่น หรือล้อเลียนกัน

ผมเชื่อว่า Passive Income คือ รายได้ที่ไม่ว่าใครก็ต่างถวิลหา เพราะมันเกิดจากสินทรัพย์ที่เราสร้างหรือสะสมมันมา จนกระทั่งมันสามารถสร้างรายได้ ผลิดอกออกผลเป็นเงินให้เราได้ใช้ โดยที่ไม่ต้องออกแรงทำงานเลย

แต่กว่าจะได้ Passive Income มากจนเราพอใจนั้น มันไม่ได้มาง่ายดายเหมือนอย่างที่ใครเขาพูดกัน เพราะในความเป็นจริงแล้วไม่มีใครเสกสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ให้อย่างมหาศาลในทันที แม้แต่กลุ่มนักธุรกิจเครือข่ายก็ต้องใช้ความพยายามมากอยู่เหมือนกัน

ทางเดินไปสู่ Passive Income จึงไม่ได้ถูกโรยด้วยกลีบกุหลาบ

แต่ใช่ว่าหนทางการสร้าง Passive Income มันจะยากจนเกินไป ผมเลือกคำนี้มาเขียนในธีม “อนาคต” ก็เพราะว่ามันเป็นรายได้ที่ไม่ว่าใครก็อยากจะมีให้ได้ในอนาคต และอนาคตนั้นจะเป็นจริงได้ ถ้าเรารู้จักรายได้ 3 ชนิด และ รูปแบบของการสร้าง Passive Income ที่เหมาะกับตัวเองก่อน

ผมได้ไอเดียการแบ่งชนิดของรายได้มาจากหนังสือ “แนวความคิดเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นสามัญที่ผมใช้” ของพี่เปา รุ่นพี่นักลงทุนที่ผมเคารพท่านหนึ่ง ซึ่งเคยได้อ่านนานมากแล้ว ในหนังสือมีการพูดถึงรายได้ 3 ชนิด ดังนี้

1. Active Income รายได้จากการทำงาน

ปัจจุบันคนเราทำงานเพื่อรับรายได้ประเภทนี้ ซึ่งเป็นรายได้ที่เกิดจากการนำเวลา ความรู้ความสามารถ และร่างกาย ไปแลกรายได้ประเภทนี้มา ถ้าเมื่อไหร่ที่เราหยุดทำงาน รายได้ในส่วนนี้ก็จะหายไป นึกง่ายๆว่ามันคือ เงินเดือนจากนายจ้าง ยอดขายจากการขายน้ำเต้าหู้ ค่าตัวจากการถ่ายโฆษณา

รายได้ประเภทนี้ผมมองว่าเราควบคุม และหามันได้ง่ายที่สุด เพราะเราสามารถจัดสรรเวลา เพื่อสร้างรายได้ประเภทนี้ได้อยู่เรื่อยๆ ในยุคนี้คนที่มี Active Income เพียงทางเดียวอาจจะไม่เพียงพอกับการใช้ชีวิต เรามักจะเห็นพนักงานบัญชีที่ขายประกันไปด้วย สถาปนิกที่รับจ้างเล่นดนตรีตอนกลางคืน พยาบาลที่ขายเสื้อผ้าออนไลน์ การจัดสรรเวลาที่ดีจะเป็นทักษะที่ช่วยให้รายได้ในส่วนนี้เพิ่มขึ้น

หลายคนอาจจะคิดว่า มันเป็นเรื่องเสียเวลา ทำไมไม่โฟกัสทำงานอย่างเดียวให้จริงจังไปเลย?

แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ ผมคิดว่า การโฟกัสงานอย่างเดียว เราทำได้อยู่แล้วในชั่วโมงของการทำงานหลัก แต่เวลาว่างที่เหลือเราควรใช้มันไปกับการสร้างรายได้ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเวลาที่เสียไป มันจะทำเงินให้เราได้มากน้อยแค่ไหน

แต่ผมมั่นใจว่าสิ่งที่ได้รับกลับมา ก็คือ “ประสบการณ์” ที่ไม่สามารถหาได้จากงานหลักอย่างแน่นอน

ซึ่งรายได้เสริมบางอย่างเราแทบไม่ต้องลงทุนด้วยซ้ำ บางคนที่มีทักษะการเล่นดนตรีที่ดี ถ่ายภาพสวย วาดรูปออกแบบเก่ง ก็สามารถใช้ความสามารถในส่วนนี้หารายได้เพิ่มได้ ที่เหลือก็แค่พัฒนาทักษะเหล่านี้ให้ดีขึ้น เพื่อเพิ่มเม็ดเงินให้กับตัวเองในอนาคต

ถึงตอนนี้แล้ว คงมีแค่ตัวคุณแล้วล่ะที่รู้ว่า “คุณทำอะไรได้ และจัดสรรเวลาดีแค่ไหนบ้าง??”

2. Capital Gain รายได้จากการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ลงทุน

หลายคนอาจจะไปโฟกัสเรื่องของ Passive Income ที่เป็นรายได้จากสินทรัพย์ จนลืมนึกไปว่าการจะมี Passive Income ที่มากพอ จำเป็นต้องมีสินทรัพย์ หรือสารตั้งต้นที่มีมูลค่าสูง อย่างเช่น เงินลงทุนในหุ้น 50 ล้านบาท ที่สร้างเงินปันผลให้ปีละ 2.5 ล้านบาท, ลิขสิทธิ์หนังสือขายดีที่ขายดีจริงๆ ตีพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก หรือแม้แต่เครือข่ายธุรกิจที่มีดาวน์ไลน์มากกว่า 100 คน เป็นต้น

ถ้าสารตั้งต้นยังมีมูลค่าไม่มากพอ เราก็ต้องขยันหา Active Income เข้ามาเพิ่มเติม แต่หลายคนอาจจะลืมนึกไปว่า...ยังมีหนทางสู่ Passive Income ที่รวดเร็ว นอกจากการเพิ่ม Active Income แล้ว เราสามารถเร่งสปีดของสารตั้งต้นด้วยรายได้แบบ “Capital Gain”

บางคนก็จะเหมาไปว่า Capital Gain เป็นรายได้แบบ Passive Income เพราะสินทรัพย์มันทำงานด้วยตัวเอง แต่สำหรับบางคนก็จะมองต่างออกไปเพราะ Capital Gain เป็นรายได้จากผลกำไรส่วนต่างของสินทรัพย์ แต่เราต้องใช้ความรู้ความสามารถเฉพาะทาง เช่น

  • นักลงทุนในอสังหาต้องมองออกว่าซื้อที่ดิน คอนโดที่ไหน แล้วราคาของอสังหาฯจะเพิ่มขึ้นในไม่ช้า 
  • นักเก็งกำไรในหุ้นหรืออนุพันธ์ต้องอ่านกราฟและมองสัญญาณซื้อขายออก 
  • นักลงทุนที่หาหุ้นเติบโตเร็วต้องเข้าใจในโมเดลการเติบโตของธุรกิจ ประเมินมูลค่าหุ้นได้ และบอกได้ว่าทำไมราคาหุ้นถึงต้องเติบโต

ซึ่งนอกจากความรู้ ความเข้าใจแล้ว ประสบการณ์ก็เป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยใส่อัตราเร่งให้เงินต้นที่ลงทุนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วได้

ถ้ารู้สึกว่า Active Income ของเรากำลังเข้าที่เข้าทางแล้ว แบ่งเงินออมมาลงทุน แล้วจัดสรรเวลามาหาความรู้เพื่อสร้าง Capital Gain ให้กับเงินลงทุนบ้าง การสร้าง Passive Income ที่ดีงามก็เป็นไปได้ง่ายขึ้น

3. Passive Income รายได้ที่เกิดจากการทำงานของสินทรัพย์

เอาเข้าจริงๆ Passive Income ไม่ได้แปลว่า “หยุด” ทำงานแล้วปล่อยให้สินทรัพย์ทำงานแทน แต่มันคือการได้รายได้ โดยที่เรามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของมันให้น้อยที่สุด ไม่ว่าใครก็อยากได้เงินที่ไหลเข้ามาสู่กระเป๋าสตางค์ของเราโดยไม่ต้องไปดูแลจัดการอะไรมาก รายได้ที่เกิดจากการปล่อยให้สินทรัพย์ทำงาน ปัจจุบันนี้สามารถทำได้หลายรูปแบบ เช่น

  • เงินปันผลจากหุ้นและกองทุนรวม 
  • ค่าเช่าจากการปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์
  • ลิขสิทธิ์จากการเขียนหนังสือ
  • พื้นที่เช่าโฆษณาบนหน้าเว็บไซต์ส่วนตัว
  • เงินค่าเรียนจากคอร์สสอนออนไลน์ (ถ่ายทำครั้งเดียวแต่มีคนซื้อได้ตลอดเวลา)

แต่หนังสือที่ขายไม่ดีจะสร้างรายได้ไม่มาก เว็บไซต์ที่มีสถิติคนเข้าน้อยก็เรียกค่าโฆษณาได้น้อย เนื้อหาคอร์สออนไลน์ต้องคอยอัพเดทอยู่เสมอ ถ้าห้องเช่าเริ่มเก่าก็ต้องซ่อมบำรุง ซึ่งที่กล่าวมาอาจจะสร้าง Passive Income ไม่ได้ตลอดไป เจ้าของสินทรัพย์ต้องติดตามดูแลมันอยู่เสมอ

ถ้าอยากให้สินทรัพย์ต่างๆ สร้าง Passive Income ที่ยั่งยืนให้กับเราได้ มันจะต้องเป็นสินทรัพย์ที่มั่นคง และมีมูลค่าในตัวเองสูงในระดับหนึ่ง

สำหรับผมการลงทุนในหุ้นและกองทุนรวมจึงเป็นหนทางที่สร้าง Passive Income ที่ไม่ต้องลงแรงเยอะ แต่ได้ผลตอบแทนที่ยั่งยืน อาศัยความขยันและวินัยในการหาความรู้เพิ่มเติมเข้ามาช่วยสร้าง Passive Income อีกทีนึง

ในปัจจุบันเราไม่ค่อยเห็นคนที่มีรายได้แบบ Active ทางเดียวแล้ว และผมเชื่อว่าในอนาคตเราจะเห็นคนที่มี Passive Income จากหลายๆ ทางมากขึ้นเช่นกัน

Passive Income ที่ดีไม่ได้สร้างง่ายๆเหมือนที่ใครบางคนพูด มันต้องใช้การทำงานที่มีประสิทธิภาพ ขยันพัฒนาตัวเอง อาศัยวินัยการออมเงิน ขยันหาความรู้ในการลงทุน เรียนรู้และใช้ระยะเวลาในการลงทุนเพื่อเร่งความเร็วให้พอร์ตการลงทุน จนสุดท้ายแล้วเราจะได้ Passive Income ที่มากพอจะดูแลเราได้ดีกว่าการทำงานของเรา

แต่ผมไม่ได้บอกให้ทุกคนหยุดทำงานทันทีที่ได้ Passive Income ตามที่ต้องการแล้วนะ ไม่ต้องรีบร้อนมีอิสรภาพทางการเงินกันมากก็ได้ เพราะเศรษฐีบางคน ต่อให้มีรายได้แบบ Passive ที่มากพอแล้ว พวกเขาก็ยังไม่หยุดทำงานเพื่อเพิ่ม Active Income กันหรอกนะ

อนาคตของเราเป้าหมายอยู่ที่ Passive Income แต่อย่าลืมว่า ความสุข และความสัมพันธ์กับคนรอบข้างของเราก็เป็นเป้าหมายในชีวิตเหมือนกัน อย่าสนใจแค่เรื่องเงินอย่างเดียวล่ะ