เริ่ม DCA ต้องรอวิกฤตไหม? มาดูกรณีศึกษากันครับ

มีหลายคำถามจาก Fan Page ที่กำลังเริ่มลงทุนอยู่และเห็นว่าหุ้นกำลังขึ้นแบบขึ้นเอาๆเรื่อยๆ และพอรู้สึกได้ว่าไม่มีทีท่าว่าจะลงซักที ทำอย่างไรดีล่ะนั่น? รอซื้อดีไหม? หรือควรกลั้มใจซื้อเฉลี่ยไปเลยดีนะ?

ผมเลยลองทำตัวอย่างกรณีศึกษาในการออมหุ้นแบบ Dollar Cost Average (DCA) โดยนำกองทุนประเภท Index Fund ที่มีการจำลองความเคลื่อนไหวของ SET index มาทำการ Back Test เป็นเวลา 10 ปีย้อนหลัง ดูนะครับว่า หากเราลงทุนแบบ DCA โดยเริ่มใน 3 ช่วงเวลา ต้นทุนในการลงทุนจะเป็นอย่างไร

ช่วงเวลาทั้ง 3 ได้แก่

  1. เริ่มก่อนเกิดวิกฤติ (สีแดง) 
  2. เริ่มช่วงวิกฤต (สีเขียว)
  3. เริ่มหลังวิกฤติ (สีม่วง)

ที่ผ่านมา 10 ปี มีวิกฤตด้วยหรอ?

ก็โชคดีจังครับที่ข้อมูลนั้นมีช่วงการเกิดวิกฤต Hamburger Crisis อยู่ด้วย ประสบการณ์ส่วนตัวของพี่ต้าร์เอง จำได้ว่ากินเวลาไปประมาณ 2 ปีเลยนะกว่าจะฟื้น ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เห็นหุ้นเจ๋งๆราคาต่ำมากแบบ งง กันเลยทีเดียว

กราฟข้างล่างนี้คือผลลัพธ์จากกรณีศึกษานะครับ

ความน่าสนใจมันอยู่ที่ ต้นทุนของคนที่เริ่มต้นก่อนวิกฤต (สีแดง) และ คนที่เริ่มต้นในช่วงวิกฤต (สีเขียว) จะเห็นได้ว่า ในช่วงแรกนั้นต้นทุนของคนเริ่มต้นตอนวิกฤตนั้นจะต่ำกว่า ซึ่งมันก็แน่นอนอยู่แล้ว ใครเริ่มตอนวิกฤติย่อมได้ราคาต่ำเสมอ

แต่ถ้าเราเห็นต้นทุนในระยะยาวจากการสะสมหน่วยลงทุนด้วยการ DCA ไปเรื่อยๆแล้วจะพบว่า เจ้าสีเขียวเนี่ยต้นทุนมันกลับสูงกว่าสีแดง งง ไหมล่ะ?

คำตอบก็คือ “คนที่เริ่มต้นก่อนวิกฤตมันมีการสะสมการลงทุนและการถ่วงเฉลี่ยน้ำหนักการของต้นทุนมาก่อน” ในขณะที่คนมาเริ่มช่วงวิกฤตจะมีการถ่วงน้ำหนักเฉพาะช่วงราคาหุ้นตกตอนวิกฤติเท่านั้นนะครับ พอราคาหุ้นปรับตัวขึ้น ที่เคยถ่วงไว้ก็เลยถ่วงไม่ไหวเท่าสีแดง ต้นทุนก็เลยยกตามราคาที่ปรับตัวขึ้นไปตามๆกันนะครับ

ซึ่งผมก็ทำเส้นสีม่วงไว้ด้วยสำหรับคนที่ถามว่า รอหลังวิกฤตแล้วค่อย DCA ดีไหม? คุณก็ต้องยอมรับได้นะว่าต้นทุนในการลงทุนของเราจะสูงกว่าคนที่เริ่มมาก่อน และสิ่งที่ผมเห็นจากการทดสอบนี้ มีดังนี้ครับ

  1. คนที่เริ่มก่อน ต้นทุนจะได้เปรียบกว่าในระยะยาว
  2. คนที่เริ่มก่อน จะมีการสะสมความมั่งคั่งก่อน ทำให้ทรัพย์สินมากกว่าในระยะยาว
  3. DCA ไม่จำเป็นต้องรอวิกฤตก็ได้ การใช้วินัยในการลงทุน เริ่มเร็วยิ่งดี

มันก็เลยมาตอกย้ำในเรื่องของคำพูดที่ว่า “ออมก่อน รวยก่อน ลงทุนก่อน มั่งคั่งก่อน”

แต่ขอหมายเหตุตัวใหญ่ๆไว้ว่า อันนี้เป็นกรณีศึกษาเฉพาะ Case ที่ Success ของ DCA ในระยะยาวนะครับ แน่นอนว่าหากเราเลือกทรัพย์สินที่เกิดวิกฤตแล้วมีผลกระทบต่อพื้นฐาน ราคาปรับตัวลงในท้ายสุด ไม่ว่าจะลงทุนก่อนหรือหลังก็ย่อมได้รับผลกระทบและขาดทุนไปตามๆกันนะครับ พื้นฐานจึงมีความสำคัญมากในการลงทุนแบบ DCA

และเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในอดีตมาแล้ว (พูดยังไงมันก็ถูก) แต่การลงทุนคือการใช้ข้อมูลในวันนี้เพื่อนำไปรับความเสี่ยงในการสร้างความมั่งคั่งในอนาคต การเกิดวิกฤตต่างๆอาจจะเกิดขึ้นได้อีก ตอนนั้นเราก็ต้องตัดสินใจให้ดีๆว่า เราควรจะพิจารณาความเป็นไปและตัดสินใจในเวลานั้นๆอย่างไรนะครับ

ขอให้โชคดีในการลงทุนนะครับ

ข้อมูลราคา : Thaimutualfund