สำหรับใครก็ตามที่เคยเปรียบเทียบ หรือเลือกซื้อประกันภัยรถยนต์ ส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกซื้อจากบริษัทประกันภัยโดยตรงหรือจากนายหน้าที่มีชื่อเสียง, มีบริการที่ดี หรือ “ราคาถูก” กว่าเจ้าอื่น จริงมั้ยครับ?

แต่ถ้าดูจากราคาเป็นหลัก โดยเฉพาะเวลาจะซื้อ “ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1” ผมขอแนะนำว่า อาจจะต้องระมัดระวังกันสักนิด เพราะบางครั้งการโฆษณาหรือแสดงให้เห็นค่าเบี้ยประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่ถูกเป็นพิเศษ อาจจะถูกซ่อนไว้ด้วย “เงื่อนไข” บางอย่าง ที่ไม่ได้แจ้งรายละเอียดให้เห็นอย่างชัดเจน โดยใช้ * “ดอกจัน” แฉกเล็กๆ ระบุไว้ให้เราต้องไปหารายละเอียดอ่านต่อเองเท่านั้นถึงจะทราบ

ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว เงื่อนไข *ดอกจัน ที่ถูกเพิ่มเข้ามา ที่ทำให้ค่าเบี้ยประกันภัยถูกลงเนี่ย มันคือเจ้า “ค่าเสียหายส่วนแรก” นี่เองล่ะครับ

"ค่าเสียหายส่วนแรก" คืออะไร?

ค่าเสียหายส่วนแรก คือ ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถของเรา ที่เราต้องออกค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งเอง นอกเหนือจากวงเงินคุ้มครองในการทำประกันภัยที่เราทำไว้ ซึ่งจะมีเงื่อนไขนี้เฉพาะกับประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 เท่านั้น ดังนั้น หากเราเลือกทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 แบบมีค่าเสียหายส่วนแรก ก็จะทำให้เราจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยถูกลง (เพราะเราต้องมารับผิดชอบค่าเสียหายส่วนหนึ่งร่วมกับบริษัทประกันภัยนั่นเอง)

โดยที่ "ค่าเสียหายส่วนแรก" จะมีอยู่ 2 ประเภท คือ

1. “ค่าเสียหายส่วนแรกแบบสมัครใจ” หรือเรียกว่า “Deductible”

เป็นค่าเสียหายส่วนแรก ที่เหมือนเป็น “ตัวเลือกเสริม” ให้เราสามารถเลือกเองได้ว่า จะรับ หรือไม่รับค่าเสียหายส่วนแรกในจำนวนที่กำหนด ซึ่งโดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 1,000-5,000 บาท (ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของบริษัทประกันภัย) ถ้าเราเลือกแบบที่มีค่าเสียหายส่วนแรก (มี Deductible) เราก็จะจ่ายค่าเบี้ยที่ถูกลงก็จริง  แต่หากเกิดอุบัติเหตุรถชน หรือเกิดความเสียหายกับรถของเรา และเราเป็นฝ่ายผิด ในแต่ละครั้ง เราต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรกเองก่อนนำรถออกจากอู่ซ่อม เป็นจำนวนเงินเท่ากับค่า Deductible ที่หักลดไว้ในตอนที่ซื้อประกัน

ตัวอย่าง

ค่าเบี้ยประกันปกติ 15,000 บาท 

  • Option 1 : ถ้าเลือกแบบไม่มีค่าเสียหายส่วนแรก (ไม่มี Deductible)  หลังจากจ่ายค่าเบี้ยประกันรถ 15,000 เราไม่ต้องจ่ายอะไรอีกเลยถ้าชน ไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุรถชนกี่ครั้งก็ตามในปีนั้น
  • Option 2 : แต่ถ้าเลือกทำประกันแบบมีค่าเสียหายส่วนแรก (แบบมี Deductible) 5,000 บาท เราก็จะจ่ายเบี้ยเหลือเพียง 15,000-5,000 = 10,000 บาท ถูกกว่าก็จริง แต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุรถชน หรือรถเราเสียหาย และเราเป็นฝ่ายผิด เป็นมูลค่า 7,000 บาท เราก็ต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรกเองก่อน 5,000 บาท  ทางบริษัทประกันภัย จึงค่อยมารับผิดชอบค่าเสียหายส่วนที่เหลืออีก 2,000 บาท และถ้าปีนั้นเกิดอุบัติเหตุรถชนแบบนี้ 2 ครั้ง ก็เท่ากับว่าเราต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยปกติ 10,000 บาท บวกกับค่า Deductible ครั้งละ 5,000 บาท 2 ครั้ง รวมกันเท่ากับว่าเราต้องจ่ายทั้งหมด 10,000+5,000+5,000 = 20,000 บาท! (สุดท้ายแพงกว่าเลือกแบบoption 1 ที่ไม่มี Deductible ด้วยซ้ำ) 

2. ค่าเสียหายส่วนแรกตามเงื่อนไข หรือเรียกว่า ค่า Excess

เป็นค่าเสียหายส่วนแรก ที่เราถูก “บังคับ” ให้ต้องจ่ายเอง แม้เราจะจ่ายค่าเบี้ยประกันภัยไปแล้วก็ตาม กรณีที่รถเราเกิดความเสียหายโดยไม่ได้เกิดจากการที่เราขับชน หรือชนแล้วไม่สามารถระบุคู่กรณีได้ (ที่บางคนเรียกว่า เคลมแห้ง) เช่น

  • ก้อนหินกระเด็นใส่รถกระจกแตก (แล้วไม่รู้ว่าก้อนหินของใคร หรือมาจากไหน)
  • รถเป็นรอยขีดข่วน โดยที่ไม่สามารถระบุผู้กระทำได้
  • รถไถล ครูดกับถนนเป็นรอย
  • รถถูกสัตว์ (ที่ไม่มีเจ้าของ) ข่วน หรือทำลายบางส่วนเสียหาย

โดยทั่วไป กรณีแบบนี้ เราต้องจ่ายค่า Excess เอง เป็นจำนวนไม่เกิน 1,000 บาท/จุด ก่อนทางบริษัทประกันภัยจึงจะรับผิดชอบส่วนที่เหลือให้

"ดังนั้น ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ของบางบริษัทประกันภัย ที่เบี้ยอาจจะถูกกว่าที่อื่น
แต่ก็อาจจะมีเงื่อนไขค่า Excess แตกต่างกับบริษัทประกันภัยอื่นด้วย ก็เป็นไปได้เหมือนกัน"

ส่วนเสริม : ประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 นั้นจะคุ้มครองกรณีที่เกิดความเสียหายกับ

  • ชีวิตและสุขภาพของบุคคลภายนอก (รวมถึงคู่กรณี)
  • รถของคู่กรณี
  • ชีวิตและสุขภาพของตัวเรา
  • รถของเรา (รวมทั้งกรณี รถหาย ไฟไหม้)
  • ชดเชยความเสียหาย ตามค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้น ไม่เกินมูลค่าของทุนประกันที่ทำไว้

"อย่างไรก็ตาม การเลือกซื้อประกันภัยรถแบบมีเงื่อนไขค่าเสียหายส่วนแรก (มี Deductible) ก็อาจจะไม่ใช่ข้อเสียอย่างเดียวเสมอไป"

เพราะถ้าเรามั่นใจว่าเราเป็นคนที่ขับรถดี ไม่อันตราย มีโอกาสไปเฉี่ยวชนให้เกิดความเสียหายเองน้อย หรือไม่ค่อยได้ใช้รถ การมีเงื่อนไขค่าเสียหายส่วนแรก (มี deductible) ก็อาจช่วยให้เราประหยัดค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ของเราได้ เพราะฉะนั้น อยู่ที่เราประเมินตัวเองด้วยว่า เรามีพฤติกรรมความเสี่ยงในการขับขี่มากน้อยแค่ไหน ควรมีค่าเสียหายส่วนแรก (มี Deductible) ไว้รับความเสี่ยงเองส่วนหนึ่งด้วยไหม ถ้ามีไม่ควรจะเกินเท่าไหร่ถึงจะไม่มากจนเกินไป

"แต่หากใครที่ไม่มั่นใจกับความเสี่ยงในการขับขี่ของตัวเอง ไม่ต้องการรับผิดชอบค่าเสียหายส่วนแรก (ค่า Deductible) อยากวางแผนจ่ายค่าเบี้ยง่ายๆครั้งเดียวจบ"

ไม่ต้องห่วงค่าใช้จ่ายใดๆเพิ่มอีก และไม่ต้องพะวงกับเงื่อนไข ที่ถูกซ่อนมากับ*ดอกจันให้ต้องกังวลใจ แนะนำให้เลือกซื้อประกันภัยรถแบบไม่ค่าเสียหายส่วนแรก (ไม่มีค่า Deductible)

ยิ่งตอนนี้ มีข่าวดีมาฝากกัน กับ “ประกันภัยรถชั้น 1 ไม่มี*ดอกจัน ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม” ให้บริการนายหน้าประกันภัยโดย บริษัท เทสโก้ เจเนอรัล อินชัวรันส์ โบรคเกอร์ จำกัด จ่ายครั้งเดียวจบ ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก (ไม่มีค่า Deductible) เพิ่ม

ซึ่ง เทสโก้ โบรคเกอร์ ประกันภัย ได้มอบสิทธิประโยชน์พิเศษ คือ

  • ประกันรถยนต์ ชั้น 1 สำหรับรถกระบะส่วนบุคคล ค่าเบี้ยเริ่มต้น 9,990 บาทต่อปี และรถยนต์ซิตี้คาร์ ค่าเบี้ยเริ่มต้น 11,000 บาทต่อปี  จ่ายครั้งเดียวจบ ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายส่วนแรก (ไม่มีค่า deductible) เพิ่ม
  • สามารถผ่อนชำระค่าเบี้ยประกันภัย ผ่านบัตรเครดิต เทสโก้ โลตัส วีซ่า ดอกเบี้ย 0% นานสูงสุด 10 เดือน  

สามารถเลือกซื้อประกันภัย จากบริษัทประกันภัยชั้นนำ

  • บริษัท สินมั่นคง ประกันภัย จำกัด (มหาชน)
  • บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน)
  • บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน)
  • บริษัท แอลเอ็มจี ประกันภัย จำกัด (มหาชน)
  • บริษัท เอไอจี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
  • บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน)
  • และ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน)

https://www.youtube.com/embed/0huzFcnKy7U https://www.youtube.com/watch?v=0huzFcnKy7U

หากใครสนใจก็ติดต่อได้ที่ เคาน์เตอร์เทสโก้โลตัส บริการด้านการเงินและโบรคเกอร์ประกันภัยที่ Tesco Lotus 189 สาขาทั่วประเทศหรือที่ www.tescolotusfs.com หรือติดต่อศูนย์บริการลูกค้า โทร 1712 กด 1 กด 2

สุดท้ายก่อนจะจากกันไปอย่าลืมว่า “หากจะซื้อประกันภัย ก็ควรศึกษารายละเอียดให้ดี อย่าสนใจเพียงเพราะแค่ราคาถูกแต่เพียงอย่างเดียว เพราะอาจจะมีเงื่อนไขเพิ่มขึ้นมามากมาย ที่เราไม่ควรมองข้าม ที่เราต้องเข้าใจทุกครั้งก่อนซื้อนะครับ”

บทความนี้เป็น Advertorial