“ใครลงทุน คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ตอนนี้ บอกเลย จิตใจต้องแข็งแกร่งดุจหินผา!! ” เป็นคำพูดของเพื่อนนักลงทุนรายหนึ่ง เปรยขึ้นมา หลังเห็นราคาบิตคอยน์ (Bitcoin) ดิ่งลงมาอย่างน่าใจหาย

เชื่อมั้ย คำพูดเดียวกันนี้ ถ้าเป็นช่วง 3-4 ปี ก่อน คงถูกหัวเราะใส่ เพราะตอนนั้นคริปโตฯ ถือเป็นสินทรัพย์ดาวรุ่ง ตลาดเติบโตได้แบบไม่เกรงใจใคร สร้างกำไรให้นักลงทุนมหาศาล โดยเฉพาะ "บิตคอยน์" ที่ราคาทะยานแตะ 2 ล้านบาทต่อ 1 เหรียญบิตคอยน์ และเป็นแรงผลักให้คริปโตฯ ตัวอื่นๆ ราคาพุ่งตามกันเป็นแถว

แต่แล้วงานเลี้ยงก็ต้องเลิกรา เพราะนาทีนี้ การดิ่งลงของราคาบิตคอยน์ ได้ฉุดบรรยากาศการลงทุนของทั้งตลาดให้ซบเซาลง

ช่วงปลายธันวาคม ที่ผ่านมามีรายงานของ ซีเอ็นบีซี (CNBC) ระบุว่า ตอนนี้ ชาวอเมริกัน Gen X ที่มีอายุระหว่าง 42 - 57 ปี ราว 60% เชื่อว่า การลงทุนในคริปโตฯ มีความเสี่ยงสูง

ส่วนบ้านเรา ข้อมูลจาก ก.ล.ต. ระบุ คนไทยเทรดน้อยลงต่อเนื่อง โดย พบว่า จาก มกราคม - ธันวาคม ปี 2565 พบบัญชีที่เคลื่อนไหวเหลือแค่ 135,000 บัญชีเท่านั้น

พอได้ยินแบบนี้แล้ว เชื่อว่า นักลงทุน ที่ไม่เคยลงทุนในคริปโตฯ อยู่แล้ว ยิ่งไม่สนใจลงทุนในตลาดเงินสกุลดิจิทัลเข้าไปใหญ่

ปัจจุบันเชื่อว่า หลายคนรู้จัก “บิตคอยน์” รวมถึง “คริปโตฯ ตัวอื่นๆ” ว่าเป็นสินทรัพย์หนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก โดยในหมู่คนรุ่นใหม่ และเชื่อว่า จากช่วงที่ตลาดบูมจนถึงทุกวันนี้ ยังคงมีคนที่เชื่อมั่นในบิตคอยน์อยู่มาก โดยไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

แต่ก็เชื่ออีกเหมือนกันว่า ยังมีคนจำนวนไม่น้อย ที่ไม่เชื่อและไม่สนใน “บิตคอยน์” และบรรดาคริปโตฯ โดยไม่คิดที่จะเข้าไปแตะต้องหรือเข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่ว่าราคาจะพุ่งสูงแค่ไหน หรือจะดิ่งลงมากเท่าไรก็ตาม เกิดอะไรกับพวกเขากันนะ aomMONEY จะพาไปหาคำตอบ

1. กลัวความเสี่ยงสูง

เป็นเรื่องปกติมากๆ ที่นักลงทุนจะหนีให้ไกลจากความเสี่ยง มากกว่าพยายามเอาตัวเองไปเสี่ยง เพื่อให้ได้กำไรมา จึงไม่แปลกที่นักลงทุนจะไม่ยอมควักกระเป๋า นำเงินออกมาลงทุนในเงินดิจิทัล ที่ตนเองไม่มีความถนัด แถมตลาดยังมีความผันผวนสูง, การซื้อขายมักเกี่ยวข้องกับอารมณ์, รวมทั้งไม่มีปัจจัยพื้นฐานใดๆ ให้สามารถประเมินมูลค่าได้ นักลงทุน จึงมองว่าการลงทุนในคริปโตฯ มีความเสี่ยงสูงกว่าปกติ

2. กลัวมีความรู้ไม่พอ

ว่ากันว่า กฎเหล็กของการลงทุน คือ ผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ก่อนตัดสินใจลงทุน เช่น จะลงทุนหุ้น ก็ต้องศึกษางบการเงินของบริษัทก่อน จะซื้อกองทุน ก็ต้องศึกษาหนังสือชี้ชวนก่อนการลงทุนทุกครั้ง

การลงทุนคริปโตฯ ก็เช่นกัน นักลงทุนต้องอ่าน White Paper ที่ระบุข้อมูลที่เกี่ยวกับเหรียญทั้งหมด แถมยังต้องทำความเข้าใจ Blockchain เทคโนโลยีเบื้องหลัง หลายคนจึงมองว่ายุ่งยาก เสียเวลา จึงตัดสินใจไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวดีกว่า ประหยัดทั้งเวลา และลดโอกาสขาดทุน ในสินทรัพย์ที่ตัวเองไม่มีความรู้

3. กลัวไม่มีอนาคต

นักการเงินรุ่นเก่า มักมองว่าคริปโตฯ เป็นสินทรัพย์ที่สร้างขึ้นมาจากอากาศ ไม่มีมูลค่าที่แท้จริง ไม่สามารถผลิดอกออกผลขึ้นมาได้ เห็นได้จากคำวิจารณ์ของนักลงทุนระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น คุณปู่นักลงทุน Warren Buffett และ คู่หูตลอดกาล Charles Munger ที่ออกมาฉะว่า “บิตคอยนด์ ไร้ค่าและไม่สามารถสร้างรายได้”

แม้แต่ Nassim Taleb นักคณิตศาสตร์ และนักเขียนชื่อดังเจ้าของผลงาน Black Swan ที่โด่งดังไปทั่วโลก วิพากษ์วิจารณ์ Bitcoin ว่าเป็นสิ่งที่แทบไม่มีค่า และยังตำหนิ Blockchain เทคโนโลยีเบื้องหลัง Bitcoin ว่าไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ด้วย

คำวิจารณ์เหล่านี้ ประกอบกับข่าวร้ายในแวดวงคริปโตฯ ที่ถูกนำเสนอต่อเนื่องในระยะหลัง ก็ทำให้นักลงทุนบางส่วน มองว่า คริปโตฯ อาจเป็นสินทรัพย์ที่ประเมินศักยภาพในอนาคตออกมาไม่ได้ จึงไม่เหมาะที่จะลงทุนระยะยาว

4. กลัวไม่ปลอดภัย

ช่วงนี้ มีคำเตือนจาก ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ให้บรรดา นักลงทุน เตรียมรับมือกับการถูกแฮกโอนเหรียญคริปโตฯ จากกลุ่มมิจฉาชีพ อีกทั้งยังมีความกังวลจากนักลงทุนบางกลุ่ม เกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยี Quantum Computer ขึ้นมา ซึ่งสามารถมันประมวลผลเร็วกว่าคอมพิวเตอร์ปกติถึง 2.5 พันล้านเท่า และมีความเป็นไปได้ที่จะสามารถเจาะกำแพงความปลอดภัยของคริปโตฯ ได้ด้วย

แม้ตอนนี้จะอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนา แต่คาดว่าอีกไม่ถึง 10 ปี เชื่อว่าเทคโนโลยีนี้จะสามารถใช้งานได้จริง พอนักลงทุน รู้ข่าวนี้ ก็จะเกิดความกังวล และเลือกที่จะอยู่ห่างจากสินทรัพย์ดิจิทัลดีกว่า

ไม่ได้บอกว่า การลงทุนในตลาดคริปโตฯ เป็นเรื่องที่ไม่ดี เพียงแต่นำปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องมาบอกกล่าว และเล่าถึงเหตุผลที่นักลงทุนบางคน ไม่ยอมควักเงินมาลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้ เพื่อให้หลายๆ คนพอมีข้อมูลเพิ่มเติม ก็ตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล