สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่เคยได้ฟังเรื่องราวของการลงทุน ก็คงจะมองว่าการลงทุนนั้นจะเป็นวิธีการสร้างความมั่งคั่งให้กับทุกคนได้ อย่างน้อยการเอาเงินบางส่วนไป DCA ในหุ้นหรือกองทุนรวมระยะยาวก็คงจะสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าเงินฝากละนะ และหลักการพวกนี้ก็มีการพิสูจน์กันมาเป็นตัวเลข Back Test ย้อนหลังได้ ซึ่งตัวผมเองและกูรูหลายๆ คนก็ได้ใช้วิธีการนี้ในการอธิบายการสร้างความมั่งคั่ง

หลายคนพอลงทุนกันไปจริงๆ แล้วก็อาจจะเกิดคำถามว่า DCA ไปทำไมขาดทุนตลอดเวลาเลย ไม่เห็นจะได้กำไรกับเขา บางคนออมหุ้นมาแล้วพบว่า ช่วงแรกๆขาดทุนน้อยแต่พอระยะยาวกลายเป็นขาดทุนมากกว่าเดิมอีก ผ่านไป 3-5 ปี ไม่ได้เจอกำไรเล๊ยยยย จนกลายเป็นคำถามที่ว่า ตกลงการลงทุนระยะสั้นหรือระยะยาวอะไรดีกว่ากัน และ ถ้าจะลงทุนระยะยาวเพื่อเก็บเงินไว้ใช้ในยามเกษียณนี่มันจะทำได้จริงๆ เหรอ?

ในด้านดีของการลงทุนเราทราบกันอยู่แล้วว่ามันสามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับเราได้ แต่อย่าลืมว่าการลงทุนมีความเสี่ยง เมื่อสร้างความมั่งคั่งได้ การลงทุนก็สามารถทำลายมันได้เช่นกัน

ผมลองยกราคาหุ้น 2 ตัว ซึ่งข้อมูลนำมาจากเว็บไซต์หุ้นปันผลนะครับ แล้วมา Plot ราคาในกรอบ 10 ปี เพื่อเทียบกันระหว่าง TTA และ MINT โดยเส้นสีฟ้าจะเป็นเส้นราคาและเส้นสีแดงจะเป็นเส้นราคาเฉลี่ย DCA หากเราทยอยลงทุน ทุกเดือน เดือนละ 1 ครั้ง หากเส้นสีฟ้า (ราคา) สูงกว่าเส้นสีแดง (ต้นทุน) แปลว่าลงทุนแล้วเกิดกำไรครับ

จะเห็นได้ว่า DCA ไม่ใช่เครื่องมือเทพเจ้าที่จะทำให้ทุกคนได้กำไรกันหมด มันแค่เป็นเครื่องมือในการลดความเสี่ยงการลงทุนและสร้างโอกาสในการลงทุนด้วยการทยอยซื้อ แน่นอนว่าทยอยซื้อผิดตัวมันก็ขาดทุนได้

หลังจาก 10 ปีผ่านไป (2007 - 2017) หากเรานำเงินไปทยอยซื้อหุ้น TTA จะเห็นได้ว่าหุ้นแทบติดดอยอยู่ตลอดเวลา จะมีพ้นดอยแค่บางช่วงเท่านั้นเอง แต่ถ้าเป็น MINT นั้นในภาพระยะยาวจะเห็นได้ว่าลงทุนแล้วได้กำไรและสามารถสร้างความมั่งคั่งได้ ตรงนี้ถ้าเราไปดูงบการเงินประกอบจะทราบดีว่าแนวโน้มของกิจการของทั้ง 2 นั้นมีการเติบโตและการทำกำไรที่ต่างกัน

อย่างไรก็ตามในมุมมองของคนที่มาลงทุนในหุ้นทั้ง 2 ประเภทนี้ในระยะสั้นและระยะยาวก็จะมีอารมณ์ที่แตกต่างกันนะครับ

1. มุมมองในระยะเริ่มต้น

จะเห็นได้ว่าในการเริ่มซื้อแบบ DCA ไม่ว่าจะเป็นหุ้น TTA หรือ MINT ราคาเฉลี่ยที่เราซื้อมันจะใกล้เคียงกับราคาหุ้นนะครับ เพราะเรายังไม่รู้ว่าอนาคตมันจะไปทางไหน (เราพิจารณาได้แค่แนวโน้มจากอดีตที่ผ่านมาเท่านั้น) การลงทุนในช่วงต้นจะมีขาดทุนบ้าง กำไรบ้าง ระยะสั้นมันเลยเป็นเรื่องของอารมณ์ของนักลงทุนครับ ดังภาพนี้จะเป็นราคาและราคาเฉลี่ย DCA ในช่วง 1 ปีแรก

เพราะฉะนั้นในช่วงการลงทุนช่วงแรกๆ ยิ่งเป็นระยะสั้นมากๆ เราหนีการขาดทุนสลับกำไรไม่ได้หรอกครับ เพราะฉะนั้นหากใครที่เลือกหุ้นดีๆ แล้ว ลงทุนไปไม่กี่วัน รู้สึกว่ามันไม่ได้กำไรกลับมาเลย อันนี้เพราะว่าเราใจร้อนนะครับ ยังไม่มีเวลาให้หุ้นมันทำงานให้เราเลย

2. มุมมองระยะยาว

หากพิจารณาจากภาพที่แสดงการลงทุนในช่วง 10 ปีในหุ้น TTA และ MINT จะเห็นได้ว่าในระยะต่อมาจากระยะสั้น ราคาหุ้นจะเริ่มสะท้อนการเติบโตของมันแล้ว และเราก็จะได้เห็นงบการเงินที่ออกมา ตอนนั้นเราเองก็จะต้องพิจารณาพื้นฐานและสิ่งที่เกิดขึ้นนะครับว่ามันจะส่งผลอย่างไรกับอนาคตของหุ้นบ้าง หากใครที่ทำการบ้านเยอะและถอยทัพในหุ้นที่ไม่น่าจะเติบโตได้ก่อนแล้วยอม Cut Loss ออกมาก็ทำให้เราเจ็บน้อยกว่าคนที่ทยอยซื้อหุ้นต่อเพราะคิดว่าจะเฉลี่ยแล้วราคาลดลงมาเรื่อยๆ วิธีนี้สำหรับผมมองว่าไม่ดีนะครับเพราะไม่รู้ว่ามันจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ ถ้าโชคดีมีการเปลี่ยนแปลงแล้วเกิดการ Turnaround มันก็ถือว่าโชคดีไป (ซึ่งส่วนใหญ่เราอาจจะไม่ได้โชคดีแบบนั้น)

SHORT LIST - ข้อแนะนำเบื้องต้นในการลงทุนแบบ DCA ระยะยาว

  • ดูธุรกิจที่เราลงทุนอยู่ตอบสนองหรือมีการพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคระยะยาวหรือไม่
  • ศึกษาธรรมชาติของธุรกิจว่าเป็นอย่างไรและความเสี่ยงต่างๆในการแข่งขันทางธุรกิจ
  • มีความได้เปรียบหรือมีการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาวอย่างต่อเนื่องหรือไม่
  • ควรรู้จักทีมงานผู้บริหาร ประสบการณ์ที่ผ่านมาว่ามีประวัติและวิสัยทัศน์อย่างไร
  • ติดตามผลประกอบการของธุรกิจว่าเติบโตอย่างต่อเนื่องหรือไม่ มีโครงการใหม่ๆอย่างไรในอนาคต

สรุป DCA แล้วขาดทุน ดวงซวยหรือเลือกไม่ดี?

ในมุมมองผมแล้วการ DCA แล้วขาดทุนนั้นถ้าในระยะสั้นมันอาจจะเป็นเรื่องปกติที่เราอาจจะบ่นกันเฉยๆว่า ซวยยยยยแล้วววว มาลงทุนในช่วงเหตุการณ์ไม่ดี ผันผวนมาก ตรงนี้ก็ต้องอดทนกันไปนะครับ แต่ถ้าเป็นระยะยาว ผมว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องดวงซวยอย่างเดียว และไม่ใช่แค่การเลือกหุ้นไม่ดี ผมให้สัดส่วนความผิดของตัวเองดังนี้นะครับ

20% เกิดจากเราเลือกหุ้นด้วยเงื่อนไขที่ไม่ดีตั้งแต่แรก

30% เกิดจากเราไม่ติดตามพื้นฐานว่ายังดีต่อในระยะต่อมาหรือไม่

50% เกิดจากเราไม่ยอมติดสินใจในการ Take Action ว่าควรจะ Cut Loss ไป

10% เกิดจากความซวยและรู้สึกว่าจังหวะเราไม่ดีเลย

ผมก็เลยอยากบอกว่า DCA แล้วประสบความสำเร็จหรือไม่ ไม่ใช่แค่เป็นเรื่องของดวงซวยและหุ้นที่เราลงทุนแต่ปัจจัยหลักคือการตัดสินใจของตัวเราเอง

ขอให้โชคดีกับการลงทุนครับ