ในช่วงนี้เราน่าจะเห็นข่าว “ราคาทองคำ” มีการดีดตัวขึ้นอย่างร้อนแรงและต่อเนื่อง ล่าสุดสมาคมค้าทองคำได้ปรับราคาทองคำขึ้นเป็นครั้งที่ 6 ของวัน (5 มี.ค.67) ทำให้ ณ ตอนนี้ราคาทองคำแท่ง 96.5% รับซื้ออยู่ที่บาทละ 35,800 บาท ส่วนทองคำรูปพรรณ 96.5% รับซื้อบาทละ 35,156 บาทต่อบาททองคำ หรือเมื่อเทียบกับต้นปี 2567 ราคาทองคำแท่งปรับเพิ่มขึ้นมาแล้วกว่า 6.7%

สถานการณ์นี้ทำให้หลายคนเริ่มหันมาสนใจทองคำอีกครั้ง เพราะเห็นว่าราคาทองคำมีการปรับตัวและให้ผลตอบแทนที่ดีไม่น้อย

บางคนกลัวจะพลาดโอกาส คิดว่าราคาต้องมีการปรับตัวสูงขึ้นอีกแน่ๆ จึงอยากรีบซื้อทองคำเก็บไว้ในช่วงนี้เลย ต้องบอกว่า อย่าเพิ่งใจร้อน ค่อยๆ ศึกษาข้อมูลก่อนลงทุนจะดีกว่า เพราะทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ซึ่งความเสี่ยงที่ว่าก็คือ ความเสี่ยงที่จะขาดทุนนั่นเอง

แนะนำว่า ก่อนลงทุนควรจะเริ่มทำความรู้จักจักกับทองคำ และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกันก่อน ดังนี้

✅ ปัจจัยหลักที่กระทบกับแนวโน้มราคาทองคำ

➡️1. ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ

• ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า → ราคาทองคำปรับขึ้น
• ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า → ราคาทองคำปรับลง

➡️2. อัตราเงินเฟ้อ

• เงินเฟ้อสูงขึ้น → ราคาทองคำปรับขึ้น
• เงินเฟ้อลดลง → ราคาทองคำปรับลง

➡️3. นโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ย

• ดอกเบี้ยนโยบายปรับลง → ราคาทองคำปรับขึ้น
• ดอกเบี้ยนโยบายปรับขึ้น → ราคาทองคำปรับลง

➡️4. ระดับราคาน้ำมัน

• ราคาน้ำมันปรับขึ้น → ราคาทองคำปรับขึ้น
• ราคาน้ำมันปรับลง → ราคาทองคำปรับลง

➡️5. วิกฤติการณ์ต่างๆ

• เกิดวิกฤติ/ความไม่แน่นอน → ราคาทองคำปรับขึ้น
• ไม่เกิดวิกฤติ/ความไม่แน่นอน → ราคาทองคำปรับลง

(ขอบคุณข้อมูลจากธนาคารไทยพาณิชย์)

ซึ่งปัจจัยหลักในการปรับขึ้นของราคาทองคำในครั้งนี้มาจาก ข้อ 1 และ ข้อ 3 คือ ค่าเงินดอลลาร์ดอลลาร์ที่อ่อนตัวลง และสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโนบายธนาคารกลางสหรัฐในช่วงกลางปีนี้

✅ ควรลงทุนทองคำไหม?

หลายคนอาจเคยได้ยินว่า "ทองคำ" เป็นสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงได้ หรือมักเรียกกันในกลุ่มนักลงทุนว่า “หลุมหลบภัย” หรือ Safe Haven

เนื่องจากทองคำเป็นเพียงสินทรัพย์ไม่กี่ตัวที่มักจะปรับตัวขึ้นได้ดี ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูง กล่าวคือ ในช่วงที่เศรษฐกิจแย่ หุ้นร่วง ทองคำมักจะปรับตัวสูงขึ้น

➡️ด้วยเหตุนี้ นักวิเคราะห์หลายคนจึงแนะนำว่า นักลงทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ อยู่ ควรมีการแบ่งเงินเพื่อมาลงทุนในทองคำด้วย สัก 5 - 10% ของเงินลงทุนทั้งหมด

ยกตัวอย่างเช่น มีเงินในพอร์ตลงทุนทั้งหมดอยู่ที่ 1 ล้านบาท ซึ่งกระจายลงทุนทั้งหุ้น ตราสารหนี้ หรือกองทุนต่างๆ อยู่แล้ว ก็ควรมีการลงทุนในทองคำร่วมด้วยสัก 50,000 - 100,000 บาท เป็นอย่างต่ำ เพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนนั่นเอง

✅ ควรซื้อทองคำช่วงไหน “ทองขึ้น” หรือ “ทองลง”

จากข้อที่แล้วจะเห็นได้ว่าการลงทุนในทองคำนั้น มักถูกใช้เพื่อกระจายความเสี่ยงเป็นหลัก แต่ถ้าอยากใช้เพื่อหวังผลตอบแทนจากการลงทุนก็สามารถทำได้เช่นกัน

หลักการพื้นฐานของการแสวงหากำไรหรือผลตอบแทนที่ดีที่สุด ก็คือ “ต้องซื้อถูก และ ขายแพง”

ดังนั้น ช่วงเวลาที่ดีที่สุด จะไม่ใช่การเข้าซื้อทองคำในช่วงที่ราคาสูง แต่ต้องเข้าซื้อในช่วงที่ราคาทองต่ำที่สุด

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครฟันธงได้ว่าราคาจะลงไปต่ำสุดที่เท่าไหร่ ถึงแม้จะมีการวิเคราะห์ด้วยปัจจัยเทคนิคได้ ก็เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น ไม่สามารถการันตีได้

➡️ดังนั้น เมื่อไม่มีใครรู้ความแน่นอนของราคา กลยุทธ์การลงทุนที่ดีที่สุด ก็คือ DCA ทยอยลงทุนทุกเดือนๆ ด้วยจำนวนเงินที่ใกล้เคียงกัน โดยไม่สนใจว่าจะได้ราคาเท่าไหร่ เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่เราจะได้ คือ "ราคาเฉลี่ย" ที่ไม่ถูกแต่ก็ไม่แพงจนเกินไป

อีกทั้ง หากลงทุนได้ระยะยาว ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยว่า ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ถ้าหากลงทุนระยะยาว ผลตอบแทนของการลงทุนจะสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้

✅ ควรลงทุนทองคำรูปแบบไหน “ทองคำแท่ง” หรือ “รูปพรรณ”

➡️ทองคำแท่ง

การซื้อทองคำแท่งในปัจจุบันไม่ยากเลย ขอเพียงแค่มีเงินก็เดินไปซื้อที่ร้านทองได้เลย ข้อดี คือ ทองคำแท่งจะมีราคาที่ถูกกว่าทองรูปพรรณในน้ำหนักที่เท่ากัน เนื่องจากจะไม่เสียค่ากำเหน็จ แต่จะมี “ค่าบล็อก” หากซื้อทองคำแท่งขนาดต่ำกว่า 5 บาท หมายความว่า ต้องใช้เงินก้อนประมาณนึงเลยถ้าไม่อยากเสียค่าบล็อกให้กับร้านทอง อีกทั้งหากเปรียบเทียบ ณ ช่วงเวลาเดียวกัน ราคาซื้อกับราคาขายทองคำแท่งจะต่างกันไม่มาก

ทั้งนี้ การเก็บรักษาก็อาจจะมีความยุ่งยากสักหน่อย เพราะต้องมีต้นทุนค่าเก็บรักษา เช่น ถ้ามีทองคำแท่งมากๆ อาจจะต้องนำไปฝากกับตู้นิรภัยของธนาคาร ก็จะเจอค่าธรรมเนียมจากการเก็บรักษา

➡️ทองคำรูปพรรณ

“ทองคำรูปพรรณ” ก็คือทองที่เขานำมาขึ้นรูปเป็นรูปทรงต่างๆ สร้อยคอ แหวน กำไร วิธีการจะเหมือนกับทองคำแท่งที่มีเงินก็เดินไปซื้อได้เลย ข้อดี คือ สามารถนำมาสวมใส่เป็นเครื่องประดับในโอกาสต่างๆ แต่ทองคำรูปพรรณจะมีการเก็บค่ากำเหน็จ ทำให้ราคาซื้อจะสูงกว่าทองคำแท่ง

และที่สำคัญราคาอาจตกลงด้วย เมื่อนำมาขายคืน แล้วพบว่าทองมีร่องรอยการถูกใช้งาน หรือเรานำไปขายคืนคนละร้านที่ซื้อมา

เพราะฉะนั้น มองว่าถ้าจะเก็บสะสมทองคำรูปพรรณไปสะสมทองคำแท่งน่าจะเวิร์คกว่า ในกรณีที่ไม่ได้อยากได้ทองมาใช้เป็นครื่องประดับนะ

สุดท้าย ต้องอย่าลืมว่า ทุกการตัดสินใจลงทุน “ต้องมีเป้าหมาย” เป็นที่ตั้งว่าเราต้องการลงทุนไปเพื่ออะไร เพื่อที่จะได้วางกลยุทธ์การลงทุนได้ถูกต้อง และสร้างผลตอบแทนให้เหมาะกับเป้าหมายนั้นๆ

เขียนโดย: วัฒนา มะสันเทียะ
ภาพ: จตุรภุช อำพวัน