ถ้าผมบอกเพื่อนๆ ว่า การเกิดเป็นผู้หญิงทำให้คุณต้องซื้อของแพงมากกว่าผู้ชายเฉลี่ยถึง 7% เพื่อนๆ จะเชื่อกันไหมครับ ถึงจะไม่อยากเชื่อ เพราะใครๆ ก็บอกว่านี่คือยุคแห่งความเท่าเทียมระหว่างชายหญิง แต่ก็ต้องยอมรับว่าครับว่า “มันเป็นเรื่องจริง”

เหตุเพราะว่าบนโลกใบนี้มีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า “ภาษีสีชมพู หรือ Pink Tax อยู่นั่นเอง”

ภาษีสีชมพู หรือ Pink Tax คืออะไร ?

Pink Tax ไม่ใช่ภาษีจริงๆ นะครับ แต่เป็นคำที่ใช้เปรียบเปรยว่า ผู้หญิงต้องใช้เงินจำนวนมากกว่าในการใช้จ่ายสินค้าและบริการ แม้จะเป็นสินค้าประเภทเดียวกันกับที่ผู้ชายใช้ก็ตาม ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น โฟมล้างหน้าผู้หญิงที่แพงกว่าโฟมล้างหน้าของผู้ชาย เป็นต้น

โดยรายงานของ The New York City Department of Consumer Affairs หรือ สำนักงานกิจการผู้บริโภคนครนิวยอร์ก ได้ทำการสำรวจสินค้ากว่า 800 ชนิดที่มีการแบ่งประเภทอย่างชัดเจนระหว่างชายหญิง

พบว่า ในสินค้าประเภทที่ใกล้เคียงกัน “สำหรับผู้หญิงจะมีราคาสูงกว่าผู้ชายเฉลี่ยถึง 7%”

โดยเฉพาะกลุ่มดังนี้ต่อไปนี้

- ของเล่นและเครื่องประดับสำหรับผู้หญิงแพงกว่าเฉลี่ย 7%
- เสื้อผ้าเด็กสำหรับผู้หญิงแพงกว่าเฉลี่ย 4%
- เสื้อผ้าผู้ใหญ่สำหรับผู้หญิงแพงกว่าเฉลี่ย 8%
- ของใช้ส่วนตัวอื่นๆ สำหรับผู้หญิงแพงกว่าเฉลี่ย 13%
- สินค้าสำหรับผู้สูงอายุสำหรับผู้หญิงแพงกว่าเฉลี่ย 8%

นอกจากนี้ยังพบว่า สินค้าสำหรับผู้หญิงจะมีราคาสูงขึ้นโดยเฉลี่ย 42% ในขณะที่สินค้าสำหรับผู้ชายจะมีราคาสูงเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 18%

โดยรายงานเผยข้อมูลว่าให้เห็นว่าตลอดชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายจาก Pink Tax นี้ มากถึง 1,351 ดอลลาร์ หรือราวๆ 44,000 บาท ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ช่วยยืนยันว่าผู้หญิงมีค่าใช้จ่ายที่มากกว่าผู้ชาย ก็คือ “ภาษีผ้าอนามัย”

ตลอดชีวิตของผู้ชายไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้ผ้าอนามัย แต่ในทางกลับกันผู้หญิงต้องใช้ผ้าอนามัยในทุกๆ เดือน เฉลี่ย 6-7 แผ่น/วัน หรือประมาณ 30 กว่าแผ่น ซึ่งราคาของผ้าอนามัย 1 ห่อ ประมาณ 40-70 บาท คิดเป็นเงินที่ผู้หญิงต้องจ่ายประมาณ 200 บาท/เดือน

โดยเฉพาะในประเทศไทย นอกจากผู้หญิงจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 7% แล้ว ผู้หญิงยังต้องเสียภาษีนำเข้าจากผ้าอนามัยบางชนิดอีก 10% คำถามก็คือ ผู้หญิงต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดจากผ้าอนามัยสูงเกินไปหรือไม่? และมีกลไกอะไรจากทางภาครัฐที่สามารถเข้ามาช่วยเหลือได้บ้าง

ตัวอย่างเช่น การยกเลิกภาษีจากผ้าอนามัย หรือ ควรจัดให้ผ้าอนามัยควรเป็นสวัสดิการจากทางรัฐ เป็นต้น

ทั้งนี้ ในหลายประเทศได้ยกเลิกภาษีผ้าอนามัยกันแล้ว เช่น ประเทศอังกฤษ แคนาดา ฯลฯ ซึ่งถ้ามองเรื่องนี้เป็นประเด็นความเท่าเทียมทางเพศระหว่างชายหญิง ก็น่าคิดไม่น้อยนะครับว่า ทางภาครัฐจะมองเรื่องนี้ในฐานะการดูแลสุขภาวะอนามัยการเจริญพันธุ์ของประชาชนหรือไม่ เพราะถ้าใช่ ผ้าอนามัยก็ควรเป็นสวัสดิการจากทางภาครัฐที่เข้าถึงได้หรือเปล่า?

เพื่อนๆ คิดเห็นกันอย่างไรเกี่ยวกับประเด็นนี้ สามารถคอมเมนต์มาพูดคุยกันได้นะครับ