มีคนเคยบอกว่า “เงินล้านแรก” หายากที่สุด แต่ถ้าหาได้แล้ว “เงินล้านต่อไป” จะง่ายขึ้น
ข้อความนี้จริงเท็จแค่ไหนคงจะขึ้นกับแต่ละบุคคล แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น คือ “การรักษาเงินล้านแรก” ให้อยู่กับเราตลอดไป และถ้าวันนี้คุณเริ่มอยากจะพิสูจน์ข้อความด้านบนแล้วว่าเป็นจริงตามนั้นหรือไม่ วันนี้ aomMONEY มีแนวทางเพื่อเป็นไกด์ไลน์ในการวางแผนการเงินให้เราสามารถมีเงินล้านแรกฉบับเร่งด่วนภายใน 4 ปีได้มาฝาก
ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่า มีปัจจัยอะไรบ้างที่จะทำให้เงินของเราเติบโตเป็นเงินล้านได้ หลายคนอาจจะเคยได้ยินมาบ้าง คือ หลักแก้ว 3 ประการในการลงทุน ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่ประกอบไปด้วย “เงินต้น - ผลตอบแทน - ระยะเวลา”
• “เงินต้นในการลงทุน” = ยิ่งมากยิ่งดี
• “ผลตอบแทนจากการลงทุน” = ยิ่งมากยิ่งดี
• “ระยะเวลาในการลงทุน” = ยิ่งมากยิ่งดี
เมื่อรู้แบบนี้แล้ว เรามาดูกันดีกว่ากว่า แก้วทั้ง 3 ประการนี้ จะทำให้เรามีเงินล้านแรก - มีกิน -มีใช้ ภายในระยะเวลา 4 ปี ได้อย่างไร?
1. ระยะเวลาในการลงทุน (Time)
ตามหลักของการตั้งเป้าหมายมีเงินก้อนที่ดีแบบ “SMART Goals” ที่ส่วนหนึ่งมีการพูดถึงว่า การกำหนดเป้าหมายต้องมีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน หรือเรียกว่า “Time Bound” ซึ่งในกรณีที่เราอยากมีเงิน 1 ล้านแรกให้ได้ภายใน 4 ปี ก็ถือว่าตรงตามคอนเซ็ปต์นี้
เพราะเราได้ปักหมุดแล้วว่า 4 ปี ต้องทำสำเร็จให้ได้ ซึ่งระยะเวลาดังกล่าว ถ้าอิงตามแผนของการลงทุนจะจัดว่าอยู่ในกรอบ “เป้าหมายระยะกลาง (Intermediate-term Goal)” คือต้องทำให้ได้ภายใน 3 - 5 ปี
ดังนั้น กรอบเวลาระยะกลางๆ แบบนี้ ค่อนข้างจะเป็นอุปสรรคต่อการทำให้เงินเติบโตเป็นหลักล้านได้ เพราะมีเวลาไม่เยอะมาก ไม่เหมือนกับการวางแผนเกษียณที่เป็นแผนระยะยาว ส่งผลให้ถ้าอยากเห็นเงินล้านจริงๆ อาจจะต้องพึ่งในส่วนของ “เงินต้น” และ “ผลตอบแทน” ที่ต้องมากขึ้น
2. เงินต้นในการลงทุน (Principle)
จุดเริ่มต้นของการทำตามแผนเพื่อไปสู่เป้าหมายเงินล้านแรก สิ่งสำคัญที่สุดเป็นเรื่องของ “เงินต้น” ยิ่งเรามีเงินต้นมาก ก็เหมือนกับการมีจุด Start ที่แข็งแรง เบื้องต้นเราควรเช็กก่อนว่าเงินที่เราสามารถนำมาเป็น “เงินต้นเพื่อลงทุน” สร้างผลตอบแทนให้เงินเติบโตต้องเป็นจำนวนเท่าไรถึงจะเหมาะสม
ซึ่งถ้าพูดตามหลักของการแบ่งเงินหรือกันเงินออกมา เพื่อออมหรือลงทุน สัดส่วนที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 10-20% ของรายได้ต่อเดือน แต่ถ้าใครเป็นสายทุ่มก็สามารถเลือกเก็บ 50% ของรายได้ต่อเดือนได้เช่นกัน
สมมติ เงินเดือน 40,000 บาท แบ่งไปเป็น “เงินต้น” เพื่อลงทุนในแต่ละเดือนเท่าไหร่ดี?
• แบ่ง 10% ของรายได้ = เงินต้น 4,000 บาท
• แบ่ง 20% ของรายได้ = เงินต้น 8,000 บาท
• แบ่ง 50% ของรายได้ = เงินต้น 20,000 บาท
เมื่อได้ระดับ “เงินต้น” ที่เหมาะสมและพอใจแล้ว ต่อไปจะเป็นเรื่องของการแสดงอภินิหารของ “ดอกเบี้ยทบต้น” จากผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนเพื่อให้เงินเติบโตได้แบบก้าวกระโดด
3. ผลตอบแทนจากการลงทุน (Return)
เรามักจะได้ยินคนพูดอยู่บ่อยๆ ว่า “ถ้าอยากรวยต้องลงทุน” หรือ “ฝากเงินกับธนาคารรวยช้า” นั่นก็เพราะด้วยเรื่องของ “ผลตอบแทน” ที่ได้จากการนำเงินไปไว้ในสินทรัพย์ต่างๆ ที่มีความเสี่ยงต่างกัน
ซึ่งแน่นอนว่าสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำ ความเสี่ยงในการที่จะสูญเสียเงินต้นก็จะต่ำ แต่สินทรัพย์อะไรที่ให้ผลตอบแทนสูง ก็มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินต้นสูง หรือขาดทุนมากกว่าเช่นเดียวกัน
งั้นเราลองมาดูหน่อยว่า สินทรัพย์ไหนให้ผลตอบแทนเป็นอย่างไร? อ้างอิงจาก บลน.Treasurist แสดงผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ย 5 ปีล่าสุด
• หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ = ประมาณ 10.5% ต่อปี
• ทองคำ = ประมาณ 6.7% ต่อปี
• หุ้นไทย (SET) = ประมาณ 2.1% ต่อปี
• พันธบัตรระยะกลาง = ประมาณ 1.9% ต่อปี
• กองทุนอสังหาฯ = ประมาณ 1.3% ต่อปี
• คริปโตฯ = ประมาณ 0.3% ต่อปี
จากข้อมูลจะเห็นได้ว่าผลตอบแทนที่ได้มักจะแตกต่างกันไป มากบ้างน้อยบ้าง และที่สำคัญถ้าดูในระยะยาว ผลตอบแทนบางสินทรัพย์จะขึ้น และบางสินทรัพย์จะลงสลับกันไปด้วย ซึ่งทำให้เกิดความไม่แน่นอน หากลงทุนเพียงสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งก็ถือว่ามีความเสี่ยงที่ค่อนข้างกระจุกตัว
ทางออกเพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย สิ่งสำคัญและจำเป็นที่ควรทำ คือ “การกระจายการลงทุน” หรือลงทุนด้วยหลักของการบริหารความเสี่ยงในรูปแบบพอร์ตโดยรวม ซึ่งเราจะสามารถเลือกระดับความเสี่ยงได้
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ชี้ให้เห็นว่า หากเราจัดพอร์ตแบบเชิงรุก (Aggressive) คือ การแบ่งสัดส่วนลงทุนเป็น กองทุนรวมตลาดเงิน 10%, ตราสารหนี้ 20% และตราสารทุน 70% จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนที่คาดหวังจากพอร์ตอยู่ที่ 9.5% ต่อปี หรือประมาณ 10% ต่อปีเลย
เมื่อองค์ประกอบทุกอย่างพร้อม สุดท้ายเรามาดูกันดีกว่าว่า ถ้าต้องการมี 1 ล้านแรกภายใน 4 ปี จริงๆ โอกาสที่จะเป็นไปได้คือเราต้องมี “เงินต้น” เท่าไรถึงจะพอเป็นไปได้
กรณีที่ 1
• ผลตอบแทนคาดหวัง = 10% ต่อปี
• ระยะเวลาลงทุน = 4 ปี
ดังนั้น เงินต้นที่ต้องลงทุนทุกเดือน = 17,030 บาท
กรณีที่ 2
• ผลตอบแทนคาดหวัง = 5% ต่อปี
• ระยะเวลาลงทุน = 4 ปี
ดังนั้น เงินต้นที่ต้องลงทุนทุกเดือน = 18,863 บาท
กรณีที่ 3
• ผลตอบแทนคาดหวัง = 3% ต่อปี
• ระยะเวลาลงทุน = 4 ปี
ดังนั้น เงินต้นที่ต้องลงทุนทุกเดือน = 19,635 บาท
กรณีที่ 4
• ผลตอบแทนคาดหวัง = 1% ต่อปี
• ระยะเวลาลงทุน = 4 ปี
ดังนั้น เงินต้นที่ต้องลงทุนทุกเดือน = 20,429 บาท
เห็นตัวเลขแบบนี้แล้ว จากที่ยกตัวอย่างไปข้างต้นว่า ถ้ามีรายได้ 40,000 บาทต่อเดือน และสามารถแบ่งเงินมาลงทุนได้มากถึง 50% ของรายได้ หรือ 20,000 บาทต่อเดือน แสดงว่าเป้าหมายการมีเงินล้านแรกไม่ไกลตัวเลย แต่ถ้าใครที่รายได้อาจไม่ได้สูงมาก หรือมีภาระรายจ่ายเยอะก็อย่าเพิ่งถอดใจไป เราสามารถลดเป้าหมายให้เล็กลงได้ เช่น การตั้งเป้าหมายมีเงิน 100,000 บาท หรือ 500,000 บาทภายใน 4 ปี เพื่อให้ผลลัพธ์มันเกิดขึ้นจริงได้ และป้องกันการถอดใจระหว่างทางนั่นเอง
ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนทำทุกเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จนะครับ
เขียนโดย: วัฒนา มะสันเทียะ