โลกของเราหมุนเร็วขึ้นทุกวัน Yuval Noah Harari ผู้แต่งหนังสือ Sapiens, a brief history of humankind กล่าวไว้ว่า “หากชาวนาในยุโรปคนหนึ่งหลับไปตอนปี 1000 แล้วตื่นขึ้นมาในอีก 500 ปีให้หลัง เขาอาจจะแปลกใจกับโลกที่เขาเห็นบ้าง แต่ไม่มากนัก เพราะโลกในยุค 1500 ก็ยังไม่ค่อยมีอะไรใหม่นอกจากเรือของคริสโตเฟอร์ล่องเรือไปค้นพบทวีปอเมริกา แต่ถ้าลูกเรือของโคลัมบัสเผลอหลับไปในปี 1500 และตื่นมาอีกครั้งใน 500 ปีให้หลัง เขาคงตกใจจนแทบสิ้นสติ เพราะ 500 ปีที่ผ่านมานี้โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปราวหลังมือกับหน้ามือ คนในยุคนี้ไม่ล่องเรือไปหาทวีปใหม่กันแล้ว แต่พวกเขากำลังต่อจรวดไปสร้างอาณานิคมที่ดาวอังคารกัน”

โลกของเราผ่านการ “ปฏิวัติ” มาหลายครั้ง เช่น การปฏิวัติทางความคิด การปฏิวัติทางการเกษตร การปฏิวัติอุตสาหกรรม การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ และหากต้องนิยมการเปลี่ยนแปลงในยุคนี้ เราอาจนิยมให้โลกนี้อยู่ในยุคของการเปลี่ยนผ่านของการปฏิวัติทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะ Disruptive Technology ที่ถือว่าเป็นคำที่ถูกใช้บ่อยที่สุดแห่งยุคนี้อีกคำหนึ่งเลย ชีวิตมนุษย์กำลังพัฒนาไปด้วยเทคโนโลยีต่างๆ เรื่อยๆ โดยที่มนุษย์เองก็อาจจะไม่รู้ตัว สิ่งเหล่านี้สะท้อนออกมาทางคุณภาพชีวิตที่ดีมากขึ้น สะดวกสบายมากขึ้น ตอบสนองความต้องการได้มากขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีมามีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิต

ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น หากแต่ก่อนเราอยากได้ข้อมูลความรู้อะไรสักอย่างหนึ่ง เราต้องมีตั๋วรถเมล์ไปถึงห้องสมุด เพื่อค้นหาข้อมูลที่บางทีก็มีบ้างไม่มีบ้าง แต่ยุคสมัยตอนนี้ เราเพียงเปิดคอมพิวเตอร์และกดค้นหาข้อมูลที่ออนไลน์อยู่อย่างมากมายมหาศาล เราก็เปรียบเสมือนเข้าถึงห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว ถามว่าการมาของระบบข้อมูลในโลกออนไลน์เป็น Disruptive Innovative ไหม?

ตอบได้เลยว่าเป็น ลักษณะการเปลี่ยนแปลงแบบนี้จะเป็นการเคลื่อนที่ของคุณค่า (Value) ครั้งใหญ่ ดีมานด์หรือความต้องการของมนุษย์จะย้ายฐานอย่างมากมายมหาศาล เหมือนสมัยหนึ่งที่หุ้น XEROX เป็นหุ้นสิบเด้งก็เพราะเกิดการเคลื่อนย้ายของความต้องการในการคัดสำเนาอย่างมากมายมหาศาล

"โลกเป็นแบบนี้ เรากำลังอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีกำลังปฎิวัติตัวเราโดยที่เราเองก็อาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว"

กระแสที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ที่ชัดเจนนี้มี  3 กระแสที่น่าสนใจมาก คือ

  • กระแสของรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicles; EV)
  • กระแสเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy)
  • และกระแสธุรกิจที่เข้ามาสร้างการใช้ชีวิตประจำวันรูปแบบใหม่ (Lifestyle Disruption)

รถยนต์ไฟฟ้า (EV)

คือรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าแทนที่การขับเคลื่อนด้วยการเผาไหม้เชื้อเพลิงจากซากดึกดำบรรพ์แบบโบราณ รถยนต์ไฟฟ้าจึงไม่ต้องพึ่งพากระบอกสูบลูกสูบในการเผาไหม้เชื้อเพลิง ไม่ต้องพึ่งพาหัวเทียนในการจุดระเบิดอีกต่อไป เพราะพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ขับเคลื่อนรถยนต์จะถูกกับเก็บไว้ในแบตเตอรี่ที่จะถือเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อน รถยนต์ไฟฟ้าถือเป็นกระแสที่มาแรงมากในปัจจุบัน เนื่องจากพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานที่สะอาดกว่าพลังงานจากซากดึกดำบรรพ์ และเมื่อคิดถึงความยั่งยืนในระยะยาว รถยนต์ไฟฟ้าย่อมน่าสนใจกว่า เพราะพลังงานจากซากดึกดำบรรพ์ เช่น น้ำมัน แก๊ส ถือเป็นพลังงานที่ใช้แล้วหมดไป แต่พลังงานไฟฟ้าสามารถผลิตได้จากแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ ซึ่งในระยะยาวจะดีกับสิ่งแวดล้อมและป้องกันการขาดแคลนพลังงาน

เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy)

ก็ถือว่ามาแรงไม่แพ้ EV แถมดูจะเกิดขึ้นได้เร็วกว่าด้วย เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้างมหภาคน้อยกว่า เศรษฐกิจดิจิทัลอธิบายง่ายๆ ก็หมายถึงระบบธุรกิจที่มีการนำเทคโนโลยีด้านดิจิทัลต่างๆ มาผสมผสานเข้าในธุรกิจ ยกตัวอย่างเช่น ในอดีตหากจะซื้อสินค้า ทางเลือกเดียวของผู้บริโภคคือจำเป็นต้องไปที่ร้านค้าปลีก แต่ในปัจจุบัน การค้าขายออนไลน์เข้ามามีบทบาทในการจับจ่ายใช้สอยมาก เรียกได้ว่าการซื้อของในปัจจุบันเป็นเรื่องง่ายมาก แค่เปิดมือถือ กดเลือก แล้วก็รอของมาส่งที่บ้านเท่านั้นเอง หรืออย่างการดูรายการโทรทัศน์ที่แต่ก่อนหากเราอยากดูละคร เราก็ต้องเปิดทีวีเพื่อรอเวลา แต่เดี๋ยวนี้ เรามีทั้ง youtube ให้ดูย้อนหลังตามเวลาที่สะดวก มี facebook live ให้ดูได้แบบตามเวลาจริงจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ จนกลายเป็นว่าความเป็นดิจิทัลค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในทุกภาคธุรกิจอย่างแทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย

เทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนการใช้ชีวิตประจำวัน (Lifestyle Disruption)

คือการนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้สูงสุด ทั้งในแง่ชีวิตการทำงาน การดูหนังฟังเพลง สุขภาพ รวมไปถึงยารักษาโรค ยกตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือการรักษาโรคแบบการกินยาก็เริ่มมีเทรนด์ของความล้าสมัยเพราะมนุษย์ทุกคนมีความแตกต่างกันในตัวเอง กระแสการพัฒนาการรักษารายบุคคลโดยใช้การรักษาถึงระดับยีน (gene therapy) ก็ถูกวิจัยและพัฒนากันมากขึ้น อย่างองค์ความรู้ด้าน CRISPR/CAS9 ก็เป็นความหวังใหม่ของมนุษยชาติที่จะนำมาใช้ในการตัดต่อยีนเพื่อใช้ในการรักษาโรค โดยเฉพาะโรคด้านพันธุกรรมให้หายขาด กระแสเหล่านี้เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โรงพยาบาลหลายแห่งในไทยมีการตรวจร่างกายลงไปถึงระดับยีนเพื่อวางแผนการดำเนินชีวิต อาหารการกิน การดูแลสุขภาพ และการรักษาโรค ถึงแม้ว่าหลายคนอาจจะไม่รู้สึก แต่ไลฟ์สไตล์ของเรากำลังถูกนวัตกรรมพัฒนาขึ้นไปทุกวัน

ถ้านักลงทุนสนใจอยากลงทุนในบริษัทด้าน Disruptive Innovation ชั้นนำระดับโลกจะทำอย่างไรได้บ้าง เพราะบริษัทเหล่านี้แทบจะไม่มีจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเลย?

รู้จักกับ “ASP-DISRUPT” ที่ลงทุนกับกระแสดิสรัปทีฟและนวัตกรรมเปลี่ยนโลก

"ASP-DISRUPT" หรือ กองทุนเปิด แอสเซทพลัส ดิสรัปทีฟ ออพพอร์ทูนิตี้ส์ (Asset Plus Disruptive Opportunities Fund) เป็นกองทุนใหม่จากบลจ. แอสเซทพลัส  และถือเป็นกองทุนแรกของไทยที่จับธีมดิสรัปทีฟมาเป็นทางเลือกในการลงทุน

กองทุนนี้ เป็นกองทุนหุ้น ระดับความเสี่ยง 6 นโยบายมุ่งเน้นการลงทุนในบริษัท ธุรกิจ และอุตสาหกรรมที่จะเปลี่ยนแปลงโลกในแบบ Disruptive Innovative เหมือนชื่อกองทุน ครอบคลุม 3 กลุ่มธูรกิจหลักที่สำคัญ คือ ครอบคลุมธุรกิจด้าน พลังงานและยานยนต์แห่งอนาคต (Future Transportation & Energy)  และกลุ่มเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) ที่กล่าวถึงไปแล้วตอนต้น นอกจากนี้ ยังครอบคลุมไปถึงกลุ่มที่เกี่ยวกับ Lifestyle Disruption ซึ่งกลุ่มนี้ก็มีความหลากหลายมาก เช่น กลุ่มที่เกี่ยวกับสื่อบันเทิงสมัยใหม่ เกม นวัตกรรมด้านการดูแลสุขภาพ กลุ่มที่เกี่ยวกับการศึกษา ฯลฯ

กองทุน "ASP-DISRUPT" เน้นการบริหารด้วยกลยุท์เชิงรุก (Active Fund)  มีการผสมผสานสินทรัพย์ลงทุนหลากหลาย ทั้งการลงทุนตรงในหุ้น  ลงทุนผ่าน ETF และลงทุนผ่านกองทุนรวมในต่างประเทศ

  • สัดส่วนการลงทุนในเบื้องต้น คาดว่า 0-40% จะไปลงทุนในกองทุน AXA World Funds Framlington Digital Economy I USD ที่เน้นลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Digital Economy ที่มีแนวโน้มการเติบโตในระยะยาว 
  • ในส่วนของเงินประมาณอีก 0-30% กองทุน ASP-DISRUPT จะนำไปลงทุนใน ETF ที่เกี่ยวข้องกับ Disruptive Innovation ต่างๆ เช่น กองทุน The Global X Lithium & Battery Tech ETF (LIT) กับกระแสรถยนต์ไฟฟ้า หรือกองทุน The Global X FinTech ETF (FINX) กับกระแส Digital Economy
  • และในส่วนของ 0-30% สุดท้าย กองทุน ASP-DISRUPT จะไปลงทุนในบริษัทต่างๆ โดยตรง โดยบริษัทต่างๆ ที่กองทุนมีแนวโน้มจะไปลงทุน เช่น AMAZON ซึ่งเป็น Disruptor ในหลากหลายกลุ่มธุรกิจ, TESLA และ GEELYที่เป็นยักษ์ใหญ่ในกลุ่มยานยนต์แห่งอนาคต  รวมถึง  NETFLIX ซึ่งเป็น Disruptor ในกลุ่มไลฟ์สไตล์ที่โดดเด่น Priceline บริษัทจองที่พักออนไลน์อันดับหนึ่งของโลก เป็นต้น

โลกกำลังหมุนไปทุกวัน เทคโนโลยีต่างๆ ก็พัฒนาทุกวัน และกระแสดิสรัปทีฟก็เกิดขึ้นทุกวัน

หากนักลงทุนคนไหนที่พร้อมสำหรับการลงทุนระยะยาว สามารถรับความผันผวนจากหุ้นต่างประเทศได้ และคาดหวังโอกาสรับผลตอบแทนสูงจากการลงทุนในหุ้นที่กำลังขับเคลื่อนการหมุนไปของนวัตกรรมของโลกใบนี้ท่ามกลางกระแสดิสรัปทีฟ "กองทุน ASP-DISRUPT" เองก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะสินทรัพย์ที่กองทุนมุ่งเน้นไปลงทุนก็ถือเป็นธุรกิจที่เป็น Disruptor ในธุรกิจหลักที่น่าสนใจโดยตรง

ที่สำคัญคือหุ้นเหล่านี้มักอยู่ต่างประเทศ นักลงทุนรายย่อยที่ไม่มีเวลาติดตามหุ้นต่างประเทศด้วยตนเอง การลงทุนในกองทุนรวมที่มีผู้เชี่ยวชาญคอยติดตามดูแลให้ก็ถือเป็นทางเลือกที่ดี

หากสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมของ ASP-DISRUPT สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด  ติดต่อ Asset Plus Customer Care 0 2672 1111 หรือศึกษาข้อมูลทาง https://www.assetfund.co.th/ASP-DISRUPT_AD.html

ลงทุนศาสตร์ – Investerest

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า(กองทุน) เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลงานในอนาคต กองทุนมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจเกิดขึ้นกับการลงทุนในต่างประเทศ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ทั้งนี้ เนื่องจากมิได้ป้องกันความเสี่ยงทั้งจำนวน ผู้ลงทุนจึงอาจขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

บทความนี้เป็น Advertorial