"ปฎิเสธไม่ได้เลยว่า 'หุ่นยนต์' (robots) และ 'ปัญญาประดิษฐ์' (A.I.) กำลังเป็นเรื่องที่มาแรงและมีแนวโน้มจะเป็นเรื่องสำคัญมากในอนาคต"

ตั้งแต่ประเทศอังกฤษเรื่องปฎิวัติอุตสาหกรรมในช่วงปี 1750 – 1850 การใช้เครื่องจักรก็กลายมาเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตของโลก ยิ่งในปัจจุบัน วิวัฒนาการของเครื่องจักรไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงยุคของหุ่นยนต์และเอไอ ยกตัวอย่างเช่น หุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่กำลังมาแรงอยู่ตอนนี้ที่เจ้าเครื่องนี้สามารถวิเคราะห์เส้นทางการดูดฝุ่นในแต่ละวันของมันเองได้ หรือแม้กระทั่งบทความที่กำลังอ่านอยู่ตอนนี้ก็ถูกจัดเรียงขึ้นมาโดยใช้เอไอหรือปัญญาประดิษฐ์ของสื่อโซเชียลอย่างเฟสบุ๊คหรือโปรแกรมค้นหาอย่างกูเกิ้ลที่วิเคราะห์ด้วยตัวเองว่าใครที่เหมาะกับบทความแบบนี้

จึงไม่น่าแปลกใจเลยหากจะบอกว่า “Robotics & A.I.” คือเทรนด์การลงทุนที่มีแนวโน้มเติบโตก้าวกระโดด ดังจะเห็นได้จากประมาณการการเติบโตของตลาด Robotics และ A.I. ทั่วโลกนับจากปัจจุบันถึงปี 2568 ซึ่งคาดว่าจะสามารถเติบโตโดยเฉลี่ย 10-15% ต่อปี เพิ่มขึ้นจากปี 2548-2556 ซึ่งเติบโตเฉลี่ยเพียง 5% ต่อปี (ที่มา: Boston Consulting Group อ้างอิงใน AXA Investment Managers Presentation, May 2017)

คำถามคือเราสามารถลงทุนอะไรจากการเปลี่ยนแปลงนี้ได้บ้าง?

บริษัทที่มุ่งมั่นพัฒนาหุ่นยนต์และเอไอจดทะเบียนอยู่ต่างประเทศเป็นหลัก ทั้งอเมริกา ยุโรป หรืออย่างฝั่งเอเชียอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือแม้กระทั่งจีน ถ้าเป็นแต่ก่อน หากเราสนใจลงทุนในหุ้นเหล่านี้ เราจำเป็นต้องออกไปลงทุนในต่างประเทศเอง เพราะไม่มีกองทุนรวมที่ตอบโจทย์ด้านหุ่นยนต์และเอไอโดยตรง กองทุนรวมต่างประเทศอื่นก็มีนโยบายการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป แต่ไม่ใช่สำหรับตอนนี้อีกแล้ว

เพราะล่าสุด บลจ.แอสเซท พลัส (Asset Plus) ได้เปิดตัว ‘กองทุน ASP-ROBOT’ ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ ถือเป็นกองทุนรวมที่เน้นการลงทุนในหุ่นยนต์และเอไอเป็นกองทุนแรกของประเทศไทยอีกด้วย

เรียกว่าเปิดประเดิมเจิมเป็นเจ้าแรก ใครที่อยากเกาะเทรนด์นวัตกรรมแบบนี้ ห้ามพลาดกับการลงทุนในกองทุนที่มุ่งเน้นไปด้านหุ่นยนต์และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์โดยตรง

ขยายความ 'ASP-ROBOT' กันอีกสักนิด ASP-ROBOT (Asset Plus Robotics Fund) คือกองทุนรวมที่เน้นการลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงของบริษัททั่วโลกที่เป็นผู้ผลิตหรือผู้พัฒนาหุ่นยนต์และเอไอโดยเฉพาะ รวมถึงจะลงทุนในหุ้นของบริษัทที่นำเอาหุ่นยนต์และเอไอมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ และยังอาจกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศหรือ Structured Notes ที่อ้างอิงกับหุ้นบริษัทผู้ผลิตหรือนำเอานวัตกรรมเหล่านี้มาใช้ในกิจการ

โดยเบื้องต้นจะลงทุนส่วนใหญ่ผ่านกองทุน 'AXA World Funds Framlington Robotech' ซึ่งเป็นกองทุนรวมในต่างประเทศที่จดทะเบียนที่ประเทศลักเซมเบิร์ก ที่มุ่งเน้นการลงทุนหุ้นของบริษัทที่ผลิตหรือนำหุ่นยนต์และเอไอไปใช้ในธุรกิจโดยเฉพาะ ดังนั้น การวิเคราะห์กองทุน ASP-ROBOT จึงเหมือนกับการวิเคราะห์กองทุน AXA World Funds Framlington Robotech ซึ่งมีการลงทุนครอบคลุม 4 เทรนด์ที่เกี่ยวกับ Robotics & A.I. โดยตรง และถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั่วโลก ได้แก่

  • กลุ่มจักรกลอัตโนมัติ (Industrial Automation)
  • กลุ่มสาธารณสุขและการแพทย์ (Healthcare)
  • กลุ่มคมนาคมและขนส่ง (Transportation)
  • กลุ่มเทคโนโลยีบูรณาการ (Technology Enabler) อย่างพวกเซ็นเซอร์ ฮาร์ดแวร์ ซอฟท์แวร์ เป็นตัน

ซึ่งเมื่อได้ไปแกะดูไส้ในที่กองทุนรวมถือและผลตอบแทนย้อนหลังที่ทำได้ก็ถือว่าน่าสนใจมากทีเดียว

บริษัทแรกคือ ‘Keyence’ สัญชาติญี่ปุ่นซึ่งเป็นบริษัทด้าน Technology Enabler ผู้พัฒนาเครื่องเซนเซอร์และอุปกรณ์ตรวจสอบ ซึ่งถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่กำลังมาแรงอย่างมาก ส่วนหนึ่งเชื่อกันว่าอนาคตนวัตกรรมต่างๆ จะพัฒนาไปทางเซนเซอร์ค่อนข้างมากเพราะทดแทนคนได้เยอะ หันมาดูงบการเงินก็สวยงามมากเพราะรายได้และกำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง แถมอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 38.14 เปอร์เซ็นต์ ยอดขาย 100 บาทเป็นกำไรเข้ากระเป๋าไป 38 บาทกว่า ถือว่าสูงมากจนน่าสนใจ

บริษัทอันดับต่อมาคือ 'Alphabet' หรือบริษัทแม่ของ Google เจ้าของ search engine อันดับหนึ่งของโลก ทุกวันนี้ใครไม่ใช้กูเกิ้ลบ้าง ทุกคนต่างก็เข้าเว็บไซต์กันด้วยกูเกิ้ลเกือบทั้งสิ้น บริษัทจึงมีทางผ่านชั้นดีสำหรับการขายโฆษณาซึ่งในแต่ละปีบริษัทมีรายได้จากการโฆษณาในหลักล้านล้านบาท (ศูนย์ 16 ตัว) แถมกูเกิ้ลก็ยังเป็นเจ้าพ่อในเรื่องของหุ่นยนต์และเอไออีกด้วย อย่างการทำแผนที่พิกัดพร้อมคำนวณสภาพจราจร การพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ รวมไปถึงแว่นตาอัจฉริยะที่อาจจะมาทดแทนโทรศัพท์มือถือในอนาคต

นั่นยังไม่นับการลงทุนในบริษัทที่โดดเด่นด้านการพัฒนาหุ่นยนต์ช่วยเหลือในการผ่าตัดอย่าง 'Intuitive Surgical Inc.' ซึ่งมีการผ่าตัดโดยใช้หุ่นยนต์มากถึง 753,000 ครั้งในปีที่ผ่านมาและคาดว่าจะเติบโตขึ้นอีก 12-14% ในปีนี้

หันมาดูทางผลตอบแทนก็เติบโตได้อย่างน่าประทับใจ เพราะมูลค่าหน่วยการลงทุนก็เติบโตไปตามแนวโน้มที่ดูดีของอุตสาหกรรมที่กำลังมาแรงมาก ความเสี่ยงที่มีคือเรื่องปัจจัยเรื่องค่าเงินเพราะลงทุนในต่างประเทศ ดังนั้นการผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนมีผลต่อมูลค่าหน่วยลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม กองทุนรวม ‘ASP-ROBOT’ มีการป้องกันความเสี่ยงไว้เกือบทั้งหมดแล้ว

ค่าธรรมเนียมของกองทุนรวมก็แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากกองทุนรวม ส่วนนี้จะเก็บตามการใช้จ่ายจริง กับอีกส่วนคือค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากผู้ถือหน่วย ซึ่งนักลงทุนจะต้องเสียตอนที่ซื้อกองทุน (แต่ค่าธรรมเนียมชื่อว่าการขาย เพราะหมายถึงเขาขายกองทุนรวมให้เรา) โดยตอนนี้ตั้งไว้สูงสุดไม่เกิน 2.00% เก็บจริงอยู่ที่ 1.50% แต่หากซื้อในช่วง IPO (การเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก) ค่าธรรมเนียมตรงนี้จะลดเหลือ 1.00% เท่านั้น ดังนั้นจึงแนะนำเป็นอย่างยิ่งว่าหากสนใจซื้อในช่วง 6-29 กันยายน พิเศษค่าธรรมเนียมการขายเพียง 1.00% (จากปกติ 1.50%) เพราะค่าธรรมเนียมลดลง 0.50% ถือว่าเยอะพอสมควรเลย

กองทุนนี้เหมาะกับใคร?

กองทุนนี้เหมาะกับคนที่เข้าใจเรื่องการลงทุนในต่างประเทศและสนใจเรื่องหุ่นยนต์และเอไอ กองทุนรวมอาจมีความผันผวนบ้างตามลักษณะหุ้นเทคโนโลยีทั่วไปที่ลงทุนกับความสำเร็จในอนาคต แต่จากพอร์ตของกองทุนรวมก็ถือว่าดูดี หุ้นส่วนใหญ่ก็เป็นหุ้นใหญ่ระดับโลกที่ผลงานพิสูจน์ตัวเองมาแล้วระดับหนึ่ง ไม่ใช่หุ้นเล็กที่เพิ่งเริ่มต้นและยังไม่มีกำไรเลยซึ่งแบบนั้นจะเสี่ยงขึ้นไปอีกขั้น

กองทุนนี้ไม่จ่ายปันผลตามสไตล์หุ้นเติบโต แต่ถ้าใครอยากได้กระแสเงินสดก็ทยอยแบ่งขายออกมาได้ตามจังหวะ และเริ่มต้นลงทุนที่ 5,000 บาท ใครสนใจลงทุนใน ‘กองทุน ASP-ROBOT’ ติดต่อโดยตรงได้ที่ Asset Plus Customer Care 0-2672-1111 หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมทาง http://www.assetfund.co.th/ROBOT_AD.html

ส่วนใครสนใจคนเขียนก็สามารถดักตีหัวได้ตามร้านขายอาหารทอดกรอบและขนมหวานทั่วไปได้ เห็นบริษัทในกองทุนผลิตหุ่นยนต์ผ่าตัดศัลยกรรมด้วย เดี๋ยวจะได้เพิ่มไขมันหน้าท้องไปลองใช้หุ่นยนต์ดูดไขมันสักหน่อย (ฮา)

ลงทุนศาสตร์ - Investerest

บทความนี้เป็น Advertorial