ย้อนกลับไปในช่วงวัยรุ่นอายุสัก 13-18 ปี ยังพอจะจำกันได้ไหมว่าตอนนั้นเราทำอะไรกันอยู่?

เชื่อว่าหลายๆ คนคงตอบใกล้เคียงกัน เช่น เรียน เที่ยวเล่นกับเพื่อน หรือใช้เวลาในวัยนั้นอย่างเต็มที่ ในวันนี้ aomMONEY เลยอยากถามทุกคนต่อไปอีกว่า แล้วนอกจากกิจวัตรประจำวัน ในตอนนั้นมีเรื่องที่สนใจมากจนเข้าขั้นหมกมุ่นกับมันไหม?

“สิ่งที่คุณทำอย่างหมกมุ่น ช่วงอายุ 13-18 ปี คือสิ่งที่คุณมีโอกาสก้าวสู่ระดับโลกมากที่สุด”

นี่คือคำพูดของ บิลล์ เกตส์ (Bill Gates) ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft ที่เราคุ้นเคยกันดี และยังเป็นเศรษฐีอันดับ 7 ของโลกด้วยมูลค่าทรัพย์สินกว่า 111,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยจุดเริ่มต้นสู่ความสำเร็จของเขา และ Microsoft เริ่มต้นขึ้นในวัยเพียง 13 ปี เมื่อเขาได้มีโอกาสได้รู้จักกับคอมพิวเตอร์ และใช้เวลาหมกมุ่นอยู่กับมันตลอดเวลา

นอกจากนี้ เกตส์ยังตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่างฮาร์วาร์ด ละทิ้งเส้นทางสู่อาชีพทนายเหมือนพ่อของเขา เพื่อเดินหน้าเต็มตัวสู่สายซอฟต์แวร์ และการเขียนโปรแกรม จนในปี 1976 เกตส์ และเพื่อนของเขาได้จับมือกันเปิดตัว Microsoft Corporation ซึ่งต้องฝ่าขวากหนามนับไม่ถ้วนก่อนจะประสบความสำเร็จเป็นบริษัทเทคชื่อดังระดับโลกอย่างที่เรารู้จักกัน

นี่คือเรื่องราวของหนึ่งในผู้ประสบความสำเร็จมากที่สุดในแวดวงเทคโนโลยี แต่สำหรับแวดวงการเงิน และการลงทุนแล้ว วันนี้คงไม่มีใครไม่คุ้นชื่อ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) เจ้าพ่อด้านการลงทุนที่ประสบความสำเร็จตลอดกาล ผู้ติดอันดับเศรษฐีอันดับ 5 ของโลก ด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมกว่า 124,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยบัฟเฟตต์เป็นเจ้าของแรงบันดาลใจมากมายของนักลงทุนทั่วโลก

แต่เชื่อไหมว่า จุดเริ่มต้นความสำเร็จของเขาเกิดขึ้นในวัยเพียง 11 ปี

ในปี 1942 บัฟเฟตต์วัย 11 ปี ได้นำเงินเก็บทั้งชีวิตของเขากว่า 114.75 ดอลลาร์สหรัฐฯ (เทียบเป็นเงินปัจจุบันอยู่ที่ราวๆ 2,151 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 78,000 บาท) ไปลงทุนครั้งแรกในหุ้น Cities Service (ปัจจุบันคือ Citgo) บริษัทน้ำมันและก๊าซก่อนจะประสบความสำเร็จต่อเนื่อง

จนในปัจจุบันเป็นผู้บริหารของ Berkshire Hathaway บริษัทกลุ่มบริษัทโฮลดิ้งข้ามชาติ สัญชาติอเมริกันเจ้าของแบรนด์ยักษ์ใหญ่หลายสิบแบรนด์ เช่น Geico, Duracell และ Dairy Queen ฯลฯ มีมูลค่ากว่า 792,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

แม้เส้นทางสู่ความสำเร็จของทั้งสองคนจะเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วัยเด็ก แต่อย่าพึ่งท้อกันไปว่าหากอยากประสบความสำเร็จบ้างต้องเริ่มลงมือในวัยเด็กเท่านั้น เพราะจริงๆ แล้วความสำเร็จนั้นเกิดขึ้นได้เสมอตลอดช่วงชีวิตของเรา โดย aomMONEY มี 3 กลยุทธ์สู่ความสำเร็จแบบ บิลล์ เกตส์ และ วอร์เรน บัฟเฟตต์มาฝากกัน

เริ่มแต่เนิ่นๆ และจดจ่ออยู่กับมัน

ในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของ Berkshire Hathaway ปี 1999 บัฟเฟตต์กล่าวว่า “เราเริ่มสร้างก้อนหิมะเล็กๆ นี้บนยอดเขาที่ยาวมาก และเคล็ดลับคือการมีเนินเขาที่ยาวมาก” เพราะไม่ว่าเราจะเริ่มต้นกลิ้งบอลหิมะลูกเล็กแค่ไหน ตลอดระยะทางที่กลิ้งไปหิมะลูกนั้นจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีขีดจำกัด

เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ‘เริ่มลงทุนเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น’ กันอยู่บ่อยๆ แต่ต้องบอกว่าหลักการนี้ทั้งบัฟเฟตต์ และเกตส์ยืนยันอยู่เสมอว่าได้ผลจริง ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่การลงทุนเพียงอย่างเดียว แต่ใช้ได้กับทุกเป้าหมายในชีวิต ขอแค่เริ่มให้ไว และจดจ่อแน่วแน่อยู่กับมัน

คุณภาพสำคัญที่สุด และต้องคุ้มค่าด้วย

ในแง่ของการลงทุน บัฟเฟตต์ให้ความสำคัญกับการลงทุนแบบเน้นคุณค่าอย่างมาก ซึ่งเป็นกลยุทธ์การซื้อหุ้นที่มีการซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง บัฟเฟตต์มักมองหาหุ้นในบริษัทที่สามารถสร้างรายได้ในระยะยาว สม่ำเสมอ และมีหนี้สินต่ำ

แต่นอกเหนือจากการหาหุ้นคุณภาพดีแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือการ ‘ถือหุ้นในระยะยาวให้ได้’ เพราะบัฟเฟตต์มองว่ายิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ผลประโยชน์จากหุ้นที่ถือจะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เขายังกล่าวอีกว่า “หากคุณไม่พร้อมที่จะถือหุ้นตัวไหนสักสิบปี ก็ไม่ต้องคิดที่จะถือแม้แต่สิบนาทีด้วยซ้ำ”

เรียนรู้จากความผิดพลาด

เป็นเรื่องปกติของการลงทุนที่จะมีทั้งผลกำไร และขาดทุน เพราะแม้แต่การลงทุนในพอร์ตยักษ์ใหญ่ของบัฟเฟตต์ก็เกิดความผิดพลาดขึ้นอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน

บัฟเฟตต์กล่าวว่า มีหลายครั้งที่โอกาสในการลงทุนศักยภาพสูงมาอยู่ตรงหน้า แต่เขาไม่ได้คว้ามันไว้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นแล้ว จะเปลี่ยนเป็นความสำเร็จในอนาคตได้อย่างไรมากกว่า

แม้การลงมือทำอะไรตั้งแต่เด็กจะทำให้เรามีภาษีในด้านนั้นๆ ดีกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าการเริ่มทำอะไรตอนนี้จะไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จ เพราะนอกจากความสำเร็จแล้ว ความผิดพลาดเองก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดชีวิตของพวกเราเช่นกัน และความผิดพลาดนี้เองคือวัตถุดิบสำคัญในการพัฒนาตัวเอง เพื่อต่อยอดสู่ความสำเร็จได้อย่างแน่นอนในสักวัน