การลงทุนหุ้นในปัจจุบัน แม้จะเลือกลงทุนหุ้นในไทยที่พื้นฐานดีขนาดไหน แต่ก็หนีไม่พ้นการ disrupt ของเทคโนโลยีหรือเทรนด์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก หากนักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นผิดตัว หรือกระจายความเสี่ยงไม่ดีพอ ก็อาจเกิดความเสียหายต่อพอร์ตการลงทุนได้

แต่การจะเข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มที่เป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยีหรือเทรนด์ใหม่ ๆ ก็อาจทำได้ยาก เพราะหุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในต่างประเทศ ซึ่งการลงทุนในต่างประเทศนั้นอาจมีข้อจำกัดบางประการที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถไปลงทุนได้ เช่น ข้อจำกัดด้านข้อมูลข่าวสาร ความหลากหลายของหลักทรัพย์ที่มีให้เลือกมากมายจนเลือกไม่ถูก หรือควรลงทุนด้วยสัดส่วนเท่าไหร่ ค่าธรรมเนียมในการซื้อขายและเงินลงทุนขั้นต่ำที่อาจสูงถึงหลายแสนบาท และหากต้องมีพอร์ตที่กระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมแล้ว อาจต้องใช้เงินทุนร่วมนับล้านบาทเลยทีเดียว

แต่ข้อจำกัดนี้กำลังจะหมดไปในไม่ช้า ด้วย Thematic Portfolio ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่จาก StashAway ที่ไม่ว่าใครก็สามารถลงทุนในเทรนด์ธุรกิจเปลี่ยนโลก แบบกำหนดความเสี่ยงในการลงทุนได้เอง และยังไม่มีขั้นต่ำในการลงทุนอีกด้วย

StashAway หรือ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นแพลตฟอร์มบริหารการลงทุน (Digital Wealth Management) ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสิงคโปร์ ให้บริการบริหารพอร์ตการลงทุนต่างประเทศอัตโนมัติผ่านการลงทุนใน ETF ทั่วโลก ที่ผ่านมา StashAway ได้รับความสนใจจากลูกค้ามากมายที่ไว้วางใจให้บริหารเงินลงทุนให้ โดยล่าสุดในต้นปี 2564 บริษัทมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการมากกว่า 30,000 ล้านบาท และ StashAway ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนส่วนบุคคล จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นที่เรียบร้อย

StashAway เพิ่งเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในชื่อ Thematic Portfolio ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถลงทุนในเทรนด์ที่จะเปลี่ยนแปลงโลก บนระดับความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ เนื่องจากแต่เดิมนั้น การที่จะเป็นส่วนหนึ่งของเทรนด์ระดับโลกนี้ นักลงทุนจำเป็นต้องเลือกหุ้นเอง จัดพอร์ตเอง และบริหารจัดการความเสี่ยงเอง แต่ผลิตภัณฑ์ Thematic Portfolio จะเข้ามาช่วยให้การลงทุนเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก เพราะ StashAway จะเป็นคนบริหารจัดการเรื่องนี้ให้แทนทั้งหมด

การลงทุนแบบ Thematic ที่เป็นการลงทุนในกลุ่มธุรกิจหรือนวัตกรรมที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงในระยะยาว แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่สูงกว่าปกติเนื่องจากเป็นการลงทุนที่กระจุกตัวในกลุ่มธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง และยังเป็นการลงทุนในกลุ่มธุรกิจหรือนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ดังนั้นเพื่อความง่ายในการทำความเข้าใจรายละเอียดของ Thematic Portfolio ของทาง StashAway ผมจึงได้รวบรวมและสรุปจุดเด่นมาทั้งหมด 7 ข้อเพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นภาพนวัตกรรมทางการลงทุนนี้มากขึ้น

1) ธีมให้เลือกหลากหลาย

การลงทุนแบบ Thematic ของทาง StashAway จะไม่ได้ลงทุนกับเทรนด์ระยะสั้น แต่จะมองหา “เทรนด์แห่งอนาคต” ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกในระยะยาว ปัจจุบันบริษัทมีธีมหลักให้เลือก 4 ธีม ได้แก่

Technology Enablers

เป็นธีมเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต เช่น AI, บล็อกเชน, โรโบติกส์ บริษัทในกลุ่มนี้คือพื้นฐานหลักให้กับเทคโนโลยีอื่นๆ นำไปต่อยอด ดังนั้น หากเทรนด์ของโลกกำลังเน้นหนักไปในเรื่องของเทคโนโลยี กลุ่มธุรกิจที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานก็จะเติบโตขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน

The Future of Consumer Tech

เป็นกลุ่มธุรกิจที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตผู้บริโภค ทั้งการซื้อสินค้า การเงิน การสื่อสาร การเดินทาง ความบันเทิง ซึ่งตอนนี้หลายอย่างก็เริ่มเห็นได้ชัดในประเทศไทยแล้ว อย่างแนวโน้มในการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น, การซื้อของออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ COVID-19, หรือการเลือกชมสินค้าแบบเสมือนจริง (virtual reality) เป็นต้น บริษัทที่ประกอบธุรกิจในกลุ่มนี้จึงมีการเติบโตสูงมากตลอดปีที่ผ่านมา

Healthcare Innovation

กลุ่มธุรกิจนวัตกรรมทางการแพทย์ จากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งกลุ่มบริษัทยา บริษัทถอดรหัสพันธุกรรม (จีโนมิกส์) บริษัทที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ และบริษัทกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพ (ไบโอเทค)

Environment and Cleantech

กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน มีหลายบริษัทที่ทำธุรกิจเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ ทั้งการกำจัดขยะแบบปลอดมลพิษ หรือพลังงานสะอาด เพราะทั้งโลกไม่ได้สนใจเพียงแค่ธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว อีกทั้งภาครัฐของแต่ละประเทศก็ให้ความสำคัญเกี่ยวกับกฎหมายเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม ธุรกิจที่ดีจึงต้องมาพร้อมความรับผิดชอบต่อความยั่งยืนของโลกใบนี้ในระยะยาว ธุรกิจกลุ่มนี้จึงมีความสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน

2) กระจายการลงทุนในหลากหลายนวัตกรรมให้พอร์ตเติบโตอย่างยั่งยืน

แต่ละธีมจะลงทุนใน 4-6 กลุ่มธุรกิจที่สำคัญเพื่อบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในแต่ละกลุ่มธุรกิจจะประกอบด้วยบริษัทหลายร้อยแห่งเพื่อกระจายการลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตสูงจำนวนมาก ซึ่งปกติแล้วการลงทุนเจาะแต่ละกลุ่มธุรกิจอาจมีความเสี่ยงสูง แต่ StashAway ได้คัดสรรกลุ่มธุรกิจที่อยู่ในธีมเดียวกันมาไว้ในพอร์ต เพื่อให้นักลงทุนไม่ต้องเสี่ยงกับธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งและยังคอยปรับสัดส่วนให้ตามภาวะเศรษฐกิจอีกด้วย

Technology Enablers (เทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต)

ประกอบไปด้วยกลุ่มธุรกิจ AI, บล็อกเชน, คลาวด์คอมพิวติ้ง, โรโบติกส์, เซมิคอนดักเตอร์ โดยลงทุนผ่าน ETF 7-11 กอง ซึ่งประกอบด้วยหลักทรัพย์กว่า 450 บริษัท

The Future of Consumer Tech (ธุรกิจที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตผู้บริโภค)

ประกอบไปด้วยกลุ่มธุรกิจ E-commerce, Fintech, เกมมิ่ง, อินเทอร์เน็ต, นวัตกรรมยานยนต์ โดยลงทุนผ่าน ETF 8-10 กอง ซึ่งประกอบด้วยหลักทรัพย์กว่า 1,300 บริษัท

Healthcare Innovation (นวัตกรรมทางการแพทย์)

ประกอบไปด้วยกลุ่มธุรกิจไบโอเทค, จีโนมิกส์, อุปกรณ์การแพทย์, เภสัชกรรม โดยลงทุนผ่าน ETF 7-11 กอง ซึ่งประกอบด้วยหลักทรัพย์กว่า 600 บริษัท

Environment and Cleantech (เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน)

ประกอบไปด้วยกลุ่มธุรกิจพลังงานสะอาด, เทคโนโลยีการจัดการน้ำ, ระบบกักเก็บพลังงาน, การเงินสีเขียว, เทคโนโลยีบำบัดขยะ โดยลงทุนผ่าน ETF 10-13 กอง ซึ่งประกอบด้วยหลักทรัพย์กว่า 1,700 บริษัท

3) ลงทุนใน ETF จากบริษัทจัดการกองทุน Thematic ชั้นนำของโลก

ทีมงานจะคัดเลือกและจัดสรรเงินลงทุนไปใน ETF ที่ได้จากบริษัทจัดการกองทุนที่มีคุณภาพที่สุด ตัวอย่างบริษัทจัดการกองทุนที่ StashAway เข้าไปลงทุนใน ETF ก็อย่างเช่น Ark Invest, iShares by BlackRock, Global X by Mirae Asset, VanEck เป็นต้น

4) ควบคุมระดับความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำ

การลงทุนแบบ Thematic อาจมีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนแบบปกติ โดยทั่วไปแล้วการลงทุนแบบ Thematic นักลงทุนจะควบคุมความเสี่ยงได้ยาก แต่ StashAway ได้สร้างนวัตกรรมที่ทำให้นักลงทุนสามารถเลือกระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยมีระดับความเสี่ยงให้เลือกมากถึง 7 ระดับ เรียกว่า StashAway Risk Index (SRI) โดยมีระดับความเสี่ยงตั้งแต่ 20% ถึง 45%  หากนักลงทุนเลือก SRI ที่ 20% มีความหมายว่านักลงทุนจะมีโอกาสเพียง 1% ที่จะขาดทุนเกิน 20% ได้ในแต่ละปี เมื่อนักลงทุนเลือกระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้แล้ว StashAway จะนำเงินไปจัดสรรเพื่อสร้างผลตอบแทน ควบคุมความเสี่ยงตามแผนที่นักลงทุนเลือกไว้ และปรับสมดุลพอร์ต ในแต่ละสินทรัพย์ให้ตรงตามค่า SRI ที่กำหนดไว้อยู่เสมอ (Rebalancing)

5) บริหารพอร์ตอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีการลงทุนระดับโลก

StashAway นำเทคโนโลยี ERAA™ มาช่วยออกแบบสัดส่วนของ Thematic Portfolio ที่ลงตัวที่สุดพร้อมทั้งปรับพอร์ต (re-optimization) ตามการเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจ เช่น หาก ERAATM วิเคราะห์แล้วว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันอยู่ในช่วงที่ตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังเติบโต ก็อาจเพิ่มสัดส่วนในสินทรัพย์กลุ่มตราสารทุนตามธีมที่เลือก และลดสัดส่วนในสินทรัพย์ปรับสมดุล (พันธบัตร หุ้นกู้ ทองคำ หรืออื่นๆ) เป็นต้น

โดยที่ ERAA™ จะปรับพอร์ตโดยอิงอยู่กับหลักการ 3 ข้อสำคัญคือ ภาวะเศรษฐกิจ, กลไกป้องกันความเสี่ยง, ช่องว่างของมูลค่า (Valuation) และถูกประมวลผลจากข้อมูลย้อนหลังมหาศาลเพื่อมาช่วยในการตัดสินใจ ให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้อคติจากการตัดสินใจของมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องน้อยที่สุด

6) ค่าธรรมเนียมต่ำ

ที่ StashAway ค่าธรรมเนียมของบริการ Thematic Portfolio ทั้งหมดนี้อยู่ที่เพียง 0.2% – 0.8% ต่อปีเท่านั้น ไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝงอื่นเพิ่มเติม

หากเทียบกับการซื้อขายหุ้นด้วยตัวเองแล้ว ค่าธรรมเนียมในการซื้อขายต่อครั้งอาจอยู่ที่ 0.25% การซื้อขาย 10 ครั้งก็จะทำให้นักลงทุนเสียค่าธรรมเนียมแล้วอย่างน้อย 2.50% รวมถึงยังอาจมีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำในการซื้อขายด้วย แต่การลงทุนใน Thematic Portfolio ของ StashAway แม้จะมีการปรับพอร์ต (re-optimisation) บ่อยแค่ไหนค่าธรรมเนียมก็อยู่ที่เพียง 0.2%-0.8% ต่อปี เพียงเท่านี้ก็ทำให้นักลงทุนได้ผลตอบแทนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้นจากค่าธรรมเนียมที่ต่ำนั่นเอง    

7) เริ่มต้นลงทุนเท่าไหร่ก็ได้

เพราะ StashAway ต้องการให้โลกการลงทุน ต่างประเทศเป็นของทุกคน จึงไม่มีข้อกำหนดในการลงทุนขั้นต่ำ คนที่สนใจจึงสามารถเริ่มต้นด้วยเงินเพียงไม่กี่ร้อยก็ได้ อีกทั้งยังสามารถมีพอร์ตที่กระจายการลงทุนใน ETF ต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ถูกจำกัดว่าการลงทุนต่างประเทศต้องเริ่มต้นด้วยเงินเยอะ หรือต้องมีเงินเยอะเท่านั้นจึงจะกระจายความเสี่ยงได้

นับว่าเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่น่าสนใจทีเดียวสำหรับโลกการลงทุน เพราะด้วยข้อได้เปรียบทั้ง 7 ข้อที่กล่าวมานี้ ทำให้ผลิตภัณฑ์ Thematic Portfolio ของ StashAway ทลายข้อจำกัดการลงทุน Thematic และเพิ่มประสิทธิภาพได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจไว้ก็คือทุกการลงทุนนั้นมีความเสี่ยง นักลงทุนควรเลือกระดับความเสี่ยงที่เหมาะกับตนอย่างแท้จริง เพื่อให้สามารถทนกับความผันผวนในระยะสั้นที่อาจเกิดขึ้น ถ้าสามารถอดทนต่อความผันผวนในระยะสั้นได้ ระยะยาวนักลงทุนก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมไปกับเทรนด์ธุรกิจเปลี่ยนโลกเหล่านี้

Thematic Portfolio จาก StashAway ทำให้ทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนในบริษัทชั้นนำระดับโลก ด้วยความเสี่ยงที่กำหนดได้เอง ด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำ และด้วยเงินทุนเท่าไหร่ก็ได้

สำหรับใครที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติม สามารถศึกษาข้อมูลต่อได้ที่ www.stashaway.co.th

บทความนี้เป็น Advertorial