สินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่นในครึ่งแรกของปี 2023 นี้ก็คือตลาดหุ้นสหรัฐฯทั้งดัชนี Nasdaq และ S&P500 ซึ่งทำได้เหนือกว่าตลาดหุ้นอื่นๆจนนำมาซึ่งความกังวลว่ากำลังเกิดภาวะฟองสบู่ขึ้น แล้วจะเป็นจริงดั่งว่าหรือแค่คิดมากไปเอง??

เรามาดูข้อมูลกันก่อนดัชนี NASDAQ ปรับตัวขึ้นกว่า 31% ภายในครึ่งปี 2023 ซึ่งเป็นผลงานเฉพาะครึ่งปีแรกที่ดีที่สุดในรอบกว่า 40 ปีตั้งแต่ก่อตั้งดัชนี NASDAQ หรือตั้งแต่ปี 1983 เลยทีเดียว โดยแรงผลักดันสำคัญมาจากหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 7 ตัว

ขณะที่ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น 15.91% ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้โดยได้เกิดสัญญาณ Technical Bull Market จากการที่ปรับตัวขึ้นมา 20% จากจุดต่ำสุดที่เกิดขึ้นในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว โดยหุ้นที่ลผักดันดัชนีก็คือหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Apple, Nvidia, Amazon, Meta, Alphabet, Microsoft และ Tesla

หุ้นที่สร้างผลตอบแทนดีที่สุดในดัชนี S&P500 คือ NVidia ที่ราคาปรับตัวขึ้น 190% หุ้น Meta ปรับตัวขึ้น 138% หุ้น Tesla ปรับตัวขึ้น 112.5% สิ่งที่น่าสนใจคือหุ้นทั้ง 7 ตัวนี้มีน้ำหนักการลงทุนในดัชนี S&P500 ถึง 30% จะเรียกได้ว่าเป็นตัวแบกอย่างชัดเจนก็ว่าได้

เรามาดูกันว่าปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้หุ้นทั้ง 7 ซึ่งเป็นตัวนำของตลาดหุ้นสหรัฐฯสามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างร้อนแรง เริ่มที่ Apple ที่มีปัจจัยหนุนจากการเปิดตัวโปรดักต์ใหม่อย่างแว่น Vision Pro และยอดขายไอโฟนที่ยังทำได้ดี ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 49% ในปีนี้และมาร์เกตแคปแตะระดับ 3 ล้านล้านดอลลาร์ได้สำเร็จ

ขณะที่หุ้น Tesla ปรับตัวขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่งจากการที่ไปจับมือกับผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของสหรัฐฯอย่าง GM และ Ford ในการเข้าไปวางโครงสร้างของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยคาดว่า Tesla จะสามารถสร้างรายได้จากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ใช่แบรนด์ตัวเองกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030 และจะแตะ 5,400 ล้านดอลลาร์ในปี 2032

ส่วนหุ้น Meta กำลังอยู่ในช่วงการฟื้นตัวหลังจากปีที่แล้วบริษัทฯมีปัญหาหลายด้านจนต้องปรับลดพนักงานครั้งใหญ่และชะลอการลงทุนในธุรกิจที่ใช้เงินเยอะอย่าง Metaverse รวมถึงล่าสุดกับการเปิดตัวโซเชียลมีเดียใหม่อย่าง Threads

ทางด้าน Microsoft และ Alphabet มีแรงหนุนสำคัญจากการที่มีการทุ่มงบลงทุนและเปิดตัวโปรดักต์ที่เกี่ยวข้องกับเอไอ ส่วน Amazon แม้จะยังไม่โดดเด่นในเรื่องของเอไอ โดยมีเพียงแค่การออกมาบอกเล่าถึงแผนการลงทุนในเอไอแต่ก็ยังไม่มีโปรดักต์ที่ชัดเจนในตอนนี้

ขณะที่ปัจจัยหลักที่ผลักดันราคาหุ้น Nvidia คือกระแสของเอไอจากการที่บริษัทฯเป็นผู้ผลิตชิป GPU ที่ใช้ในการประมวลผลเอไอรายใหญ่ที่สุด ปัจจุบัน Nvidia ครองตลาด GPU สำหรับการขับเคลื่อนเอไอไปแล้วกว่า 80% และราคาหุ้นตอนนี้ทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลไปแล้ว อย่างไรก็ตามค่า P/E ของหุ้นทะลุไปกว่า 200 เท่าแล้ว

เมื่อวิเคราะห์ไปที่สาเหตุที่ทำให้หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ทั้ง 7 ปรับตัวขึ้นมาได้จนดันดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นได้ร้อนแรง ต่างมาจาก “ความคาดหวังล่วงหน้า” ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการเกาะกระแสเอไอ ความคาดหวังถึงโปรดักต์ใหม่ตลอดจนความคาดหวังว่าธุรกิจจะเทิร์นอะราวด์

อย่างไรก็ตามความคาดหวังนั้นไม่ใช้เรื่องที่เกินเลยพื้นฐานของกิจการไปมากนัก โดยเอไอถือเป็นเทคโนโลยีที่จะเข้าสู่ Mass Adoption และมีการใช้งานเพื่อสร้างรายได้จริง ขณะที่ Apple เองก็แทบไม่พลาดกับการเปิดตัวไลน์สินค้าใหม่ ส่วน Tesla ก็มีการขยายไลน์ธุรกิจใหม่จริง ทางด้าน Meta แค่ชะลอลงทุนธุรกิจใหม่ที่ขาดทุนและมุ่งมั่นกับธุรกิจเดิมที่มีความชำนาญอย่างโซเชียลมีเดียก็อาจเพียงพอต่อการฟื้นตัวได้จริง

ถ้าถามว่าเซกเตอร์ไหนที่อาจจะเข้าข่ายเป็นฟองสบู่อย่างแท้จริง ส่วนตัวยังมองว่ากลุ่มบล็อกเชนอาจจะเข้าข่ายดังกล่าวมากที่สุด โดยราคา Bitcoin สร้างผลตอบแทน 85% ตั้งแต่ต้นปีแตะระดับ 31,000 ดอลลาร์ ทำให้ ETF ที่ลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับคริปโตสร้างผลตอบแทนได้สูงไปด้วย โดยกองทุนที่สร้างผลตอบแทนสูงสุดคือ Valky Miners ETF พุ่งกว่า 191% และ VanEck digital Transformation ETF พุ่งกว่า 155% และครองสิบอันดับแรกของ ETF ที่ผลตอบแทนสูงสุดทั้งหมด ขณะที่หุ้นในกลุ่ม Bitcoin Mining ปรับตัวขึ้นระดับ 200-300% ทั้งแผง

ถึงตอนนี้ยังไม่สามารถมั่นใจได้ว่าราคา Bitcoin และคริปโตจะฟื้นกลับเป็นขาขึ้นได้เต็มตัวแต่ราคาหุ้นที่ปรับตัววิ่งล่วงหน้าไปแล้วเรื่องนี้น่ากังวลว่าจะเป็นฟองสบู่เล็กๆได้เหมือนกัน แต่การที่มาร์เกตแคปของกลุ่มนี้ไม่ได้ใหญ่มากอาจจะสร้างผลกระทบเชิงลบในวงจำกัด

สรุปคือตลาดหุ้นสหรัฐฯมีโอกาสที่จะเป็นฟองสบู่เล็กๆ จากราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาจากความคาดหวังเป็นส่วนใหญ่ยังไม่ได้มาจากงบการเงินที่แท้จริง แต่ไม่น่าจะทำให้ตลาดร่วงแรงมากนักถ้ารายได้ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้เติบโตได้ตามที่คาดหวังไว้ล่วงหน้า การปรับฐานอาจจะอยู่ในระดับไม่เกิน 10% ซึ่งมองเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนได้ในระยะกลางขึ้นไป

===============
ผู้เขียน : นเรศ เหล่าพรรณราย
ซีอีโอ Ricco Wealth เจ้าของเพจ Editor Gap Investment Talk