หลังจากจบรายการ aomMONEY Live กองทุนไหนดี? ไปแล้วเมื่อกลางเดือนธันวาคม 2559 ผมยังคงได้รับคำถามหลังไมค์มาที่เพจ TAXBugnoms อย่างสม่ำเสมอครับ โดยเฉพาะคำถามว่า “ใกล้จะสิ้นปีแล้ว จะซื้อกองทุน LTF หรือ RMF กองไหนดี” ยิ่งโค้งสุดท้ายใกล้วันหมดเขตมากแค่ไหน ก็ยิ่งมีคนถามมารัวๆแบบไม่กลัวดีต่อใจเลยว่า “บอกมาสักทีสิ (โว้ย) จะให้ไปซื้อกองทุน LTF / RMF ไหนดี (โว้ย)” แบบไม่หยุดหย่อน
อะไรคือเหตุผลที่ซื้อ LTF และ RMF ตอนสิ้นปี ?
แหม่ ไม่เห็นน่าถามเลย (ไอ้) คุณหนอม แกน่าจะรู้อยู่แล้ว ว่ามันมาจาก 2 สาเหตุ สาเหตุแรก คือ เงินมันเข้ามาตอนนั้น โบนัสอะไรแบบนี้ กับอีกสาเหตุก็คือ ชั้นต้องวางแผนภาษีแล้วไงล่ะ นี่มันโค้งสุดท้ายแล้วนะเฟ้ย!!
คำตอบส่วนใหญ่มักเป็นแบบนี้ครับ แต่ผมกำลังจะบอกว่า ถ้าหากตอบแบบนี้แล้วล่ะก็ มันสะท้อนให้เห็นถึงข้อผิดพลาดในการจัดการการเงินของเราเหมือนกัน เพราะว่า
1. การรอเงินเพื่อซื้อ แสดงถึงกระแสเงินสดที่มีปัญหา
อาจจะดูแรงไปหน่อยนะครับ แต่ถ้าหากได้ลองทำงบการเงิน หรือ งบประมาณส่วนบุคคลของตัวเองแล้ว จะรู้เลยครับว่า จริงๆแล้วเราต้องวางแผนออมเงิน เก็บเงินทุกเดือนไว้ เพื่อวินัยที่ดีของตัวเอง และเพื่อสร้างความต่อเนื่องให้กับการลงทุนของเราครับ
2. ให้ความสนใจวางแผนภาษีโค้งสุดท้าย
เหมือนจะดีที่อยากวางแผนภาษี แต่จริงๆแล้วการวางแผนภาษีไม่ควรทำตอนปลายปี แต่ควรทำตั้งแต่ต้นปี และวางแผนสม่ำเสมอตลอดทั้งปีต่างหาก เพื่อที่เราจะได้จัดการไว้ตั้งแต่แรก โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนครับ ยังไงๆ เราก็รู้อยู่แล้วว่ารายได้ทั้งปีของเราเป็นเท่าไร แล้วทำไมเราถึงไม่วางแผนไว้ตั้งแต่ต้นปีล่ะครับ รออะไรกันอยู่ครับผม :)
นั่นคือมุมมองส่วนตัวของผมครับ ซึ่งผมรู้ครับว่า อาจจะมีหลายๆคนมองไม่เหมือนกันกับผม ไม่เป็นไรครับ เรื่องแบบนี้สูตรใครสูตรมันครับ แต่มาดูสิ่งที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปดีกว่าครับว่า แล้วตกลงเราควรซื้อ LTF และ RMF ตอนไหนดี?
เราควรซื้อ LTF และ RMF ตอนไหน?
สมมุติว่าถ้าหากเราจัดการเงินดี มีเงินออมเหมือนปกติ และคิดจะวางแผนภาษีอยู่แล้ว แบบนี้ควรจะซื้อตอนไหนดีนะ ได้ยินกูรูบางคนก็บอกว่่าให้ซื้อเฉลี่ยสะสม (DCA) ทั้งปี แต่ถ้าเรารู้ (งี้) เราควรวางแผนจับจังหวะซื้อตอนที่หุ้นตกหนักๆ จะได้กำไรเยอะๆ หรือว่าจะสองใจจับจังหวะผสมกันกับ DCA กันบ้างอะไรบ้าง อารมณ์รักพี่เสียดายน้องก็ได้เหมือนกันนี่นา
ถ้าให้ตอบตรงๆ ก็ต้องบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีคำตอบตายตัวครับ จะซื้อตอนไหนก็เรื่องของคุณ (อ้าว) แต่ผมมีคำถามสั้นๆ 2 ข้อมาช่วยคัดกรองครับว่า เราควรจะวางแผนซื้อแบบไหนกันแน่
1. คุณเป็นคนจับจังหวะระดับเทพหรือเปล่า?
อันนี้ไม่ใช่มาถามเรื่องการเต้นนะครับ แต่หมายถึงว่าสามารถจับจังหวะในการลงทุนได้ไหม เช่น รู้เลยพรุ่งนี้หุ้นขึ้น มะรืนหุ้นลง ตอนนี้ถึงจุดต่ำสุดแล้ว แถมรู้อนาคตว่าจะพีคปีไหน ถ้าทำได้ขนาดนั้น การจับจังหวะซื้อด้วยเงินก้อนอาจจะเหมาะกับคุณครับ
แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมอยากจะให้พิจารณาอีกเรื่อง คือ ระยะเวลาการถือครองทั้ง LTF และ RMF ครับ ซึ่งเป็นการลงทุนในระยะเวลาที่ค่อนข้างนาน LTF ต้องลงทุน 7 ปีปฎิทิน (5 ปีกับอีกหลายวัน) และ RMF ต้องลงทุนไปจนถึงตอนเกษียณ (อายุ 55 ปี) บางทีแล้วการจับจังหวะซื้อแบบนี้อาจจะไม่ได้ช่วยเพิ่มผลตอบแทนมากมายก็ได้
ทีนี้… มันเลยมาถึงคำถามข้อที่ 2 นี่แหละครับ
2. คุณอยากสร้างวินัยในการลงทุนหรือเปล่า
สำหรับข้อดีของวิธีการเฉลี่ยซื้อแบบ DCA คือการทยอยสะสมหน่วยลงทุนไปเรื่อยๆครับ ซึ่งเป็นการสร้างวินัยในการลงทุนให้กับเรา และเป็นตัวช่วยในการวางแผนซื้อตามจำนวนที่เราต้องการได้เป็นอย่างดี
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากเราเป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้จากการทำงานทั้งปีจำนวน 500,000 บาท อยากจะวางแผนซื้อ LTF หรือ RMF ได้สูงสุดตามสิทธิ์ นั่นคือ 15% ของ 500,000 บาท หรือ 75,000 บาท (สำหรับ RMF อย่าลืมเรื่องเงื่อนไขร่วมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และประกันชีวิตแบบบำนาญด้วยนะครับ)
เราก็อาจจะแบ่งเงินซื้อไว้เดือนละ 5,000 บาท ทั้ง LTF หรือ/และ RMF (ตามตัวอย่างด้านบน คือ ซื้อได้สูงสุดตามสิทธิ์คือ 6,250 บาทต่อเดือน) หรือจะแบ่งยังไงก็ตามใจเราครับ จะเห็นได้ว่าจำนวนเงินที่สะสมในแต่ละเดือนนั้นมันไม่ได้มากเกิน คิดเป็น 10% ของรายได้เท่านั้น
มาถึงตรงนี้คงจะพอมองภาพรวมออกแล้วใช่ไหมครับว่า ควรจะเลือกแบบไหน เท่านี้ยังไม่พอ ผมยังมีข้อดีของการลงทุนเฉลี่ยทุกเดือนให้ดูอีกสัก 3 ข้อครับ
- ผสมผสานได้ คุณสามารถเลือกผสมผสานกับการจับจังหวะลงทุนได้ เช่น แบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้ลงทุนรายเดือน และอีกส่วนไว้ซื้อตอนหุ้นตกหนัก เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน ซึ่งวิธีนี้จะดีกว่าการจับจังหวะเพียงอย่างเดียวตรงที่ไม่เสียโอกาสในการลงทุนครับ
- กระแสเงินสดก็มี ถ้าเราเริ่มลงทุนได้เร็ว เราก็จะมีหน่วยลงทุนในกองทุนนั้นตั้งแต่ต้นปี ซึ่งหากกองทุนนั้นมีนโยบายจ่ายเงินปันผล และคุณเองก็ชอบเงินปันผลด้วย พอถึงรอบจ่ายปันผลระหว่างปี ถ้ากองทุนมีกำไร คุณก็จะมีโอกาสได้รับเงินปันผลไปด้วยอีกทาง
- ลดภาษีได้เลย เพราะถ้าซื้อ LTF หรือ RMF ตั้งแต่ต้นปี บางบริษัทเราสามารถแจ้งทาง HR ได้เลยครับว่าเราลงทุนไปเท่าไรในปีนี้ ยิ่งบางที่ให้แจ้งได้ทุกเดือน แบบนี้เงินภาษีในเดือนหน้าที่ต้องถูก หัก ณ ที่จ่ายไว้ก็จะลดลงจากค่าลดหย่อนส่วนนี้ทันทีครับ
ตอนนี้ทุกคนคงจะเห็นแล้วว่าการลงทุน DCA มีข้อดีอย่างไร แต่ถ้าอยากลงทุนตอนนี้เลย แล้วไม่รู้ว่าจะเลือกกองทุนไหนดี ผมยังมีแนวโน้มการลงทุนจาก KAsset มาบอกอีกด้วยครับ
Theme การลงทุนในปีนี้
ปีนี้ทาง KAsset มองว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับผลบวกจากการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องครับ โดยมาจากภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่เริ่มช่วยให้เติบโตไปได้ส่วนหนึ่ง และมาจากภาคการส่งออกที่ฟื้นตัวมากขึ้นครับ