สวัสดีครับ นักลงทุนทุกท่าน ในช่วงนี้คำถามที่ถามเข้ามาในเพจคลินิกกองทุนแห่งนี้มากเป็นพิเศษคงหนีไม่พ้น คือ เศรษฐกิจไม่ค่อยดีแบบนี้ เราจะลงทุนอะไรดี ? มีสินทรัพย์ หรือว่ามีกองทุนไหนที่พอจะลงทุนได้บ้าง ? ซึ่งถ้าหากเราพิจารณาถึง สินทรัพย์หลาย ๆ ประเภทก็จะพบว่ามีความเสี่ยงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหุ้น ที่ผ่านมาหลายเดือนแล้วดัชนีหุ้นเองก็ยังไม่ค่อยไปไหน

หากพูดถึงกองทุนตราสารหนี้ ก็ต้องบอกนักลงทุนว่าขนาดกองทุนตราสารหนี้เองก็ยังมีความเสี่ยงที่สูงมากขึ้น เริ่มมีราคาแพงสังเกตได้จาก อัตราดอกเบี้ยของตราสารหนี้โดยเฉพาะตราสารหนี้ที่อายุยาว ๆ นั้นลดลงอย่างมากครับ

ส่วนสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น ทองคำเองก็มีราคาที่สูงขึ้นมาก ทั้งนี้ก็เพราะว่าความเสี่ยงที่มีอยู่รอบด้านไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศ หรือการลงทุน รวมทั้งสงครามการค้า สงครามค่าเงิน นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่าจะมีวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ทำให้ ในช่วงนี้ราคาทองคำก็เริ่มสูงมากขึ้นมาสักระยะแล้ว

เอาเป็นว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่หาสินทรัพย์เพื่อการลงทุนค่อนข้างยากครับ อะไร ๆ ก็ดูแพงไปหมด ส่วนสินทรัพย์อย่างหุ้นเองก็มีไม่ค่อยมีเสน่ห์ดึงดูดให้ไปลงทุนเท่าไหร่นักครับ

แต่ไหน ๆ มาอ่านบทความของคลินิกกองทุนแห่งนี้ทั้งที ผมคิดว่าอย่างน้อย ๆ นักลงทุนน่าจะได้อะไรติดไม้ติดมือไปบ้าง

ซึ่งถ้าหากนักลงทุนลองพิจารณาดี ๆ แล้ว ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี เริ่มมีการถดถอยเกิดขึ้นในระยะนี้ จะมีสินทรัพย์อยู่สินทรัพย์หนึ่งที่จะได้รับผลกระทบช้าที่สุด และ ในช่วงที่เศรษฐกิจซึมกันแบบยาว ๆ นั้นยังคงมีโอกาสทำให้เราได้รับผลตอบแทนที่ดีได้อยู่ครับ เนื่องจากว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องใช้บริการไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร นั่นก็คือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานครับ

เสน่ห์ของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานก็คือ ตราบใดที่ยังคงมีคนใช้บริการโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานก็ยังสามารถที่จะจ่ายผลตอบแทนให้กับเราได้ครับ และโดยอย่างยิ่งในยุคที่ Internet ถูกใช้อย่างแพร่หลายครับ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวกับเส้นใยแก้วนำแสง นั้นก็ยิ่งมีความสำคัญอย่างมาก แทบจะเรียกว่าเป็นปัจจัยที่ 5 ไปแล้วครับ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เอาไว้ทั้งใช้งาน และมีเรื่องของความบันเทิงอยู่ด้วยกันครับ

ดังนั้น หากนักลงทุนกำลังหาการลงทุนในช่วงนี้แล้วละก็ ผมคิดว่ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน มีความน่าสนใจมากเป็นอันดับต้น ๆ ครับ

ซึ่งครั้งนี้ผมจะพาไปรู้จักกับ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน หรือ JASIF ซึ่งให้ผลตอบแทน และเงินปันผลที่ค่อนข้างจะดีมาก ซึ่งจะเห็นได้จากตั้งแต่จัดตั้งกองทุน กองทุนได้จ่ายเงินปันผลและเงินลดทุนรวมจำนวน 4.07 บาทต่อหน่วย ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ตอนนี้ JASIF กำลังจะมีการเพิ่มทุน หรือพูดง่าย ๆ ว่ามีการเพิ่มเติมทรัพย์สินเข้าไปในกองทุนให้มากขึ้นไปอีกครับ ก่อนอื่นมารู้จักกับ JASIF แบบคร่าว ๆ กันก่อนครับ JASIF คือกองทุนที่ลงทุนในกรรมสิทธิ์เส้นใยแก้วนำแสงของ บมจ. ทริปเปิลที บรอดแบนด์ (TTTBB) หรือ 3BB ที่เราใช้งานกันนั่นแหละครับ

สำหรับ TTTBB ถือเป็นผู้ประกอบการบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ตรายใหญ่ของประเทศ และมีส่วนแบ่งการตลาดสูงเป็นอันดับต้นๆ เลยนะครับ โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่ง TTTBB มีโครงข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งอันนี้ถือเป็นจุดแข็งของ TTTBB เลยก็ได้ว่าครับ

กลับมาที่กองทุน JASIF กันต่อ กองทุนนี้จะให้ผู้ประกอบการซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านสัญญาณโครงข่ายแบบใยแก้วนำแสงเช่านั่นแหละครับ เอาเป็นว่าทุก ๆ ครั้งที่มีการจ่ายค่า Internet บ้านของ  3BB ก็เสมือนกับว่าเรากำลังได้รับเงินเข้ามานั่นเองครับ

ซึ่งถ้าหากเราไปดูผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนอสังหา ฯ + โครงสร้างพื้นฐาน + REITs กองอื่น ๆ แล้วจะพบว่า การเติบโตของกองทุนกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานนี้ไม่ธรรมดาครับ หากรวมกับ Capital Gain และ เงินปันผลที่ได้รับมาแล้ว น่าจะอยู่ที่ประมาณ 8%-12% ต่อปีเลยทีเดียวครับ (จากผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปีของกองทุนแบบ Fund of Property Fund เช่น M-PROP, CIMB iPROP ที่มีการลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และอสังหาฯ ด้วย) ซึ่งให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในหุ้นไทย (วัดจากผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี) เสียอีกครับ

ที่มา : วารสารนักลงทุนสัมพันธ์ JASIF ไตรมาส 2 ปี 2562

ยิ่งไปกว่านั้น JASIF ถือว่าเป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานตัวนึงที่ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของเงินปันผลที่สูงสุดครับ ซึ่งผมคิดว่าเกิดจากการที่บริษัทนั้นมีการขยายไปยังต่างจังหวัดได้อย่างรวดเร็ว และก็มีผู้ใช้บริการมากขึ้น เมื่อมีรายได้ที่มาก ก็ย่อมปันผลเยอะ ซึ่งจะเป็นสาเหตุหลักที่นักลงทุนเลือกเข้ามาลงทุน

นอกจากนี้ ธุรกิจด้าน Internet ก็มีการเติบโตมากขึ้นจากการเพิ่มปริมาณโครงข่ายเส้นใยแก้วนำแสงที่ครอบคลุมมากขึ้น ผมจึงคิดว่าในช่วงนี้เป็นโอกาสด้านการเติบโตอีกด้วยครับ แน่นอนว่าถ้ามีการขยายเส้นใยนำแก้ว และทำให้มีผู้ใช้มากขึ้น ในอนาคตก็มีแนวโน้มที่รายได้จะมากขึ้นไปด้วยนครับ

จึงเป็นที่มาของข่าวการเพิ่มทุนของ JASIF ในครั้งนี้ครับที่ทำให้โอกาสได้ความมั่นคงจากการที่มีเส้นใยนำแก้วเพิ่มมากขึ้น โดยการเพิ่มทุนครั้งที่ 1 นี้ มีรายละเอียดดังนี้ครับ

1. ออกหน่วยลงทุนเสนอขายไม่เกิน 2,500 ล้านหน่วย ราคาจอง 9 บาท/หน่วย จัดสรรให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิม รวมคิดเป็นมูลค่าเสนอขายทั้งหมดไม่เกิน 2.25 หมื่นล้านบาท

2. โดยจะมีการกู้เงินจากสถาบันการเงินอีกไม่เกิน 1.55 หมื่นล้านบาท รวมถึงกู้เงินสถาบันในประเทศไม่เกิน 2.66 พันล้านบาทเพื่อชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม

3. โดยทำเพื่อเข้าลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นเส้นใยแก้วนำแสง โดยจะเพิ่มเติมประมาณไม่เกิน 700,000 คอร์กิโลเมตร

4. โดย TTTBB เป็นผู้เช่าสินทรัพย์กลับเป็นสัญญาหลัก 80% และมีค่าเช่าเท่าสัญญาเดิมที่ 433.21 บาทต่อคอร์กิโลเมตร/เดือน ให้สิทธิขยายสัญญาหลักเดิมออกไปอีก 6 ปี เป็นวันที่ 29 มกราคม 2575 และรับประกันรายได้ค่าเช่าสำหรับสินทรัพย์อีก 20% และมีค่าเช่าที่ 764.48 บาทต่อคอร์กิโลเมตร/เดือน โดยกองทุนมีสิทธิต่ออายุสัญญาดังกล่าวได้อีกครั้งละ 3 ปี จนถึงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2569 สำหรับทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงส่วนรองเดิม และจนถึงวันที่ 29 มกราคม 2575 สำหรับทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงส่วนรองส่วนเพิ่ม

5. ถ้าหากเพิ่มทุน และทำการเข้าลงทุนแล้วจะส่งผลให้ JASIF นั้นมีเส้นใยแก้วนำแสงเพิ่มขึ้นเป็นไม่เกิน 1,680,500 คอร์กิโลเมตร ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วไทยเลยทีเดียวครับ

หมายเหตุ : คำนวณบนสมมติฐานว่ากองทุนออกหน่วยลงทุนใหม่จำนวน 2,500 ล้านหน่วย อ้างอิงจากรายงานและข้อมูลทางการเงินตามประมาณการและตามสถานการณ์สมมติ

6. โดยหลังซื้อสินทรัพย์รอบใหม่นี้ก็มีโอกาสที่จะทำให้กองทุนมีความมั่นคงมากขึ้น

7. ทำให้เงินปันส่วนแบ่งกำไรต่อหน่วยลงทุน (DPU) เพิ่มสูงขึ้น จาก 0.99 เป็น 1.04 บาทต่อหน่วย (อ้างอิงจากรายงานและข้อมูลทางการเงินตามประมาณการ และตามสถานการณ์สมมุติ)

เราจะเห็นได้ว่าหลังการเพิ่มทุนเข้ามา จะทำให้ศักยภาพของ JASIF นี้สูงขึ้นในเรื่องของความสม่ำเสมอของผลตอบแทน และมีการเติบโตของสินทรัพย์ที่ครอบคลุมการใช้งานที่มากขึ้นครับ เอาเป็นว่าระยะยาวน่าจะดีต่อผู้ที่ถือกองทุนนี้อยู่ครับ

ผมคิดว่าในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นขาลงนิด ๆ แบบนี้น่าจะส่งผลบวกต่อกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เนื่องจากคนไม่ค่อยอยากที่จะลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝากแน่ ๆ ครับ ได้ดอกเบี้ยไม่ดีเท่าไหร่ รวมถึงเศรษฐกิจมีแนวโน้มไม่ค่อยดี หากอยากลงทุนแล้วความผันผวนไม่สูง มีโอกาสได้ผลตอบแทนต่อเนื่อง กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น จึงถือว่าเป็นทางออกที่ดีในการลงทุนในช่วงนี้ครับ

ยิ่งไปกว่านั้น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้เองก็ไม่ได้มีความเสี่ยงเท่ากับการลงทุนในหุ้นอีกด้วยครับ เรียกได้ว่าตัวเลขการติดลบ หรือ Drawdown และโดยเฉพาะ SD ก็ต่ำกว่าการลงทุนในหุ้นอยู่พอสมควรเลยทีเดียว โดยถ้าเป็นกองทุนหุ้นถ้าหากติดดอยแล้วส่วนใหญ่กว่าจะคืนทุนได้บางครั้งอาจจะใช้เวลาถึงปีกว่า ๆ เกือบ 2 ปีเลยทีเดียวครับ แต่ถ้าหากเป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน หรือ REITs ก็ตามระยะเวลาในการกลับขึ้นมาคืนทุนนั้นส่วนใหญ่ไม่เกิน 1 ปีครับ

ผมเชื่อว่าใครที่ยังไม่เคยลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานมาก่อนเลย ผมแนะนำว่า JASIF นั้นถือเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานตัวนึงเลยครับ

ก่อนจะจากกันไป ผมแนะนำว่าให้ นักลงทุนเองก็อย่าไปทุมลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งมากเกินไปครับ ถ้าหากมีการผิดพลาดอะไรขึ้นมา ก็อาจจะได้ไม่คุ้มเสียครับ เราเองก็ควรที่จะมีการกระจายความเสี่ยงด้วยเช่นกันครับ โดยมีการกระจายการลงทุนไปยังกองทุนหลาย ๆ กองทุน ที่มีความแตกต่างกัน เช่น กองทุนอสังหา ฯ ที่เป็นโกดังเช่า หรือจะเป็น REITs ที่เป็นออฟฟิศสำนักงาน โรงแรม หรือห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เพื่อให้รายได้ที่จะเกิดขึ้นในพอร์ตของเราสม่ำเสมอมากขึ้นอีกครับ

ส่วนวันนี้ผมขอลาไปก่อน แล้วพบกันนะครับ สวัสดีครับ

บทความนี้เป็น Advertorial