เข้าสู่ช่วงลดหย่อนภาษีทีไร หลายคนคงนึกถึงการวางแผนลดหย่อนภาษี และเชื่อเลยว่าหนึ่งในตัวที่หลายคนชื่นชอบในช่วงนี้ คือ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์

เหตุผลที่ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ เป็นที่นิยมขนาดนี้ เพราะประกันประเภทนี้ทำให้เราได้หลายอย่างที่ตอบโจทย์เป้าหมายการเงิน ไม่ว่าจะเป็น เงินก้อน (เมื่อครบสัญญา) เงินคืน (ระหว่างทาง) และ ความคุ้มครอง (ตามที่ต้องการ) จึงเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่หลายคนมักจะนึกถึง

และที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ เบี้ยประกันชีวิตสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท ซึ่งช่วยให้เราลดภาษีได้เพิ่มขึ้นตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่เราคำนวณได้ 

ยกตัวอย่างเช่น หากเราเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราสูงสุด 20% (ก่อนวางแผนลดหย่อนภาษี) การซื้อประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ที่จ่ายเบี้ยประกันปีละ 100,000 บาท ก็จะช่วยประหยัดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นจำนวน 20,000 บาท หรือเหมือนกับการได้เงินจำนวนนี้คืนกลับมานั่นเอง

มาถึงตรงนี้ หลายคนคงเริ่มรู้สึกสนใจ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ กันแล้ว แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องตอบคำถามตัวเองให้ดีนั้น ควรต้องมีแนวคิดที่ถูกต้องรองรับอยู่ นั่นคือ 

ข้อแรก ความต้องการประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์  โดยเราต้องชัดเจนว่า ถ้าจ่ายค่าเบี้ยประกันเท่านี้ จะต้องใช้เงินเท่าไรต่อปี และได้รับอะไรกลับมาจากการจ่ายเงินก้อนนี้บ้าง 

ขอยกตัวอย่างประกัน "บีแอลเอ แฮปปี้เซฟวิ่ง 10/5 (มีเงินปันผล)” ให้พิจารณากัน สมมติว่าถ้าตอนนี้เราอายุ 35 ปี จ่ายเบี้ยประกันปีละ 100,000 บาท สิ่งที่จะได้จากการประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ตัวนี้ มีรายละเอียดดังนี้ครับ

  • เงินก้อนวันครบกำหนดสัญญา 519,067บาท
  • เงินคืนรายปีจำนวน 5,297บาท ในวันครบรอบปีที่ 2,4,6,8
  • ความคุ้มครองชีวิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องปีละ 100% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย สูงสุดที่ 500% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย 
  • โอกาสรับเงินปันผลเมื่อครบกำหนดสัญญาเพิ่มเติมจากการลงทุน กรณีที่บริษัทลงทุนได้ดี ก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนเพิ่มมากขึ้นในส่วนนี้ด้วย

ข้อสอง ความสามารถในการจ่ายเบี้ยประกัน และ ภาษีที่ประหยัดได้ ต้องบอกว่าสองเรื่องนี้ควรสอดคล้องกัน เพราะเราต้องมีเงินพอจ่ายค่าเบี้ยในแต่ละปี และมีส่วนลดภาษี (จากการลดหย่อน) ได้ตามที่เราต้องการ 

จากตัวอย่างที่ว่ามาของ บีแอลเอ แฮปปี้เซฟวิ่ง 10/5 (มีเงินปันผล) ก็แปลว่า เราต้องสามารถจ่ายเบี้ยประกันได้ตลอด 5 ปี ปีละ 100,000 บาทตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ และเช็คสิทธิ์ลดหย่อนภาษีในมุมมองที่คุ้มค่าของเรา เช่น ถ้าเราเสียภาษีในอัตราสูงสุด 20% ก็แปลว่าจะลดภาษีได้จำนวน 20,000 บาทต่อปีนั่นเอง 

และยิ่งถ้าเป็นคนที่มีฐานภาษีที่สูง บอกได้เลยว่า ยิ่งได้เปรียบสุดๆ เพราะ บีแอลเอ แฮปปี้เซฟวิ่ง 10/5 (มีเงินปันผล) ได้รับเงินคืนเร็ว ไม่ต้องรอถึง 10 ปี ซึ่งต่างจากการลงทุนใน SSF ที่เงินทุกก้อนต้องรอ 10 ปีถึงจะถอนคืนได้ และเมื่อคำนวณเป็น IRR แล้ว การซื้อ บีแอลเอ แฮปปี้เซฟวิ่ง 10/5 (มีเงินปันผล) ก็ได้ผลตอบแทนค่อนข้างสูงเลยทีเดียว  

ดังนั้น ถ้าหากเราเข้าใจเรื่องต่าง ๆ พวกนี้ รวมถึงเข้าใจเป้าหมายการเงินของตัวเอง ย่อมจะช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น และได้คำตอบว่าประกันสะสมทรัพย์แบบไหนเหมาะกับเรา 

สุดท้าย ถ้าหากใครสนใจ บีแอลเอ แฮปปี้เซฟวิ่ง 10/5 (มีเงินปันผล) ก็อย่าลืมดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้ หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่.. https://bla.bangkoklife.com/HS105_Tax

บทความนี้เป็น Advertorial