สวัสดีครับทุกท่าน กลับมาพบกันกับผม “หมอนัท” ประจำคลินิกกองทุนแบบนี้ทุกๆ สิ้นปีเหมือนเดิมเลยนะครับ พอพูดถึงสิ้นปีแบบนี้ เรื่องที่ผมจะมาเล่าให้ฟังนั้นคงหนีไม่พ้นเรื่อง การลดหย่อนภาษี !! อย่างแน่นอนครับ

ปีนี้ถือว่าเป็นอีกปีนึงที่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องของการลดหย่อนภาษีมากมายเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลดหย่อนภาษีใหม่ๆ ที่มาจากภาครัฐฯ เพราะว่าต้องการให้การลดหย่อนเหล่านี้มาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจนั่นเองครับ และในปีนี้ก็มีเพิ่มค่าลดหย่อนขึ้นมาอย่างมากมายเลย เช่น การเที่ยวเมืองรอง เมืองหลัก ค่าลดหย่อนที่เกิดจากการซื้อสินค้า OTOP,สินค้าเพื่อการศึกษา กีฬา รวมถึง หนังสือ และ E-book ทั้งนี้เราสามารถเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสมตามความสะดวก และ ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนเลยครับ

ดังนั้น ในปีนี้ถ้าใครที่ใช้จ่ายกับสินค้า หรือท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับการลดหย่อนภาษีก็อย่าลืมเก็บเอกสารไว้ดี ๆ เพื่อเตรียมยื่นภาษีในปีหน้ากันด้วยนะครับ

นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องของ LTF ที่กำลังจะหมดอายุลง และถึงแม้ว่าจะมีข่าวออกมาเรื่อย ๆ ถึงกองทุนที่อาจจะมาแทน เช่น SEF หรือกองทุนหุ้นยั่งยืน ก็ตามแต่ปัจจุบันเองก็ยังไม่มีการยืนยันว่าจะมีกองทุนไหนมาทดแทน LTF แบบเดิมครับ

ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะเสียดายไปตาม ๆ กัน แต่ไหน ๆ แล้วปีนี้เป็นที่เราสามารถซื้อ LTF ได้เป็นปีสุดท้าย ผมก็ขอแนะนำว่าให้ใช้สิทธิ์อย่างเต็มที่กันนะครับ เพราะว่าการลงทุนผ่าน LTF ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีอย่างหนึ่งในการเก็บเงินระยะยาวของเราเลยทีเดียวครับ เนื่องจากถ้าเราลงทุนระยะยาวกับกองทุนหุ้น LTF ก็มีโอกาสที่ได้รับผลตอบแทนที่ดีครับ

แต่ทั้งการลดหย่อนภาษีจากการลงทุนใน LTF และ การใช้จ่ายต่าง ๆ นั้น มีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง บางปีอาจจะมี บางปีอาจจะไม่มี และเราเองก็ยังไม่ทราบว่าในปีหน้าจะยังคงมีอยู่หรือไม่ และจะเปลี่ยนแปลงไปในทางใดกันแน่

แต่บนความไม่แน่นอน ก็ยังมีสิทธิ์ลดหย่อนภาษีบางอย่างที่อยู่มานานมากกกก และผมเชื่อว่าก็จะยังคงอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ภาครัฐ ฯ ส่งเสริมอยู่ตลอดเพื่อให้มีเงินเกษียณ นั่นก็คือ การลงทุนผ่าน RMF ซื้อประกันบำนาญ รวมถึงการส่งเสริมให้ประชาชนมีการบริหารความเสี่ยงด้วยการซื้อประกันชีวิต และ ประกันสุขภาพนั่นเองครับ

ในครั้งนี้ผมจะมาทบทวนซักเล็กน้อยครับ ว่าแต่ละสินค้าเพื่อลดหน่อยภาษีเหล่านี้มีเงื่อนไขอะไรบ้าง และเราสามารถใช้สิทธิ์ได้อย่างไรกันครับ

เริ่มจาก RMF กันก่อนนะครับ RMF นั้นย่อมาจาก Retirement Mutual Fund ครับ เป็นกองทุนที่ภาครัฐ ฯ ส่งเสริมให้มีเพื่อให้ประชาชนมีเงินเก็บเกษียณเป็นของตนเอง ซึ่งถ้าเราเก็บสะสมเงินได้ ภาครัฐก็จะมีภาระในการเลี้ยงดูประชาชนน้อยลงครับ

โดยกองทุน RMF มีให้เลือกเยอะแยะมากเลยครับ คือ มีกองทุน RMFแบบพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้(ตราสารหนี้) กองทุน RMFอสังหาริมทรัพย์ กองทุน RMFหุ้นไทย กองทุน RMFหุ้นต่างประเทศ กองทุน RMFทองคำ โดยจะเป็นการลงทุนที่มีเป้าหมายเก็บเงินก้อนนี้เอาไว้ใช้ตอนเกษียณอายุ กองทุนนี้ต้องซื้อทุกปี หรือไม่ต่ำกว่าปีละ 5,000 บาท และเมื่อเริ่มซื้อแล้วก็ต้องลงทุนไปอย่างน้อย 5 ปี และถึงอายุ 55 ปี จึงจะขายได้ครับ

แต่กองทุน RMF จะซื้อได้ไม่เกิน 15% ของรายได้รวมทั้งปี แต่เมื่อรวมเงินที่ซื้อ กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ(Provident Fund) หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.), และประกันชีวิตแบบบำนาญ (ถ้ามี) รวมกันทั้งหมดต้องไม่เกิน 500,000 บาท

คราวนี้เรามาดูสินค้าในฝั่งของประกันกันบ้างครับ โดยที่ประกันจะแบ่งเป็น 3 ประเภทครับ

1. ประกันแบบบำนาญ

คือประกันชีวิตที่จะคุ้มครองชีวิต และจ่ายผลตอบแทนคืนให้เป็นประจำเท่ากันทุก ๆ ปี ในช่วงหลังเกษียณ (55 หรือ 60 แล้วแต่แบบประกัน) ไปจนกว่าจะครบสัญญา เช่นอายุ 85 หรือ 90 ปี

พูดง่าย ๆ ว่าถ้าใครซื้อประกันบำนาญจะได้รับเงินบำนาญ และ ได้ความคุ้มครองไปด้วยนั่นเอง

เงื่อนไขลดหย่อนภาษีก็คือ เราจะซื้อได้ไม่เกิน 15% ของรายได้รวมทั้งปี และต้องไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี นอกจากนี้ตามเงื่อนไขของเงินเกษียณที่ต้องไปรวมกับ RMF และ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ(Provident Fund) หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.), ก็จะรวมกันทั้งหมดต้องไม่เกิน 500,000 บาทครับ

2. ประกันชีวิตและ สุขภาพ

เราสามารถซื้อประกันชีวิตได้ไม่เกิน 100,000 บาทครับ ส่วนประกันสุขภาพจะซื้อได้ไม่เกิน 15,000 บาทครับ แต่เมื่อรวมประกันชีวิต และ สุขภาพเข้าด้วยกันแล้วก็ยังห้ามเกิน 100,000 บาทนะครับ เอาเป็นว่ารวมทุกแบบ ทุกกรมธรรม์แล้ว ต้องไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี แล้วต้องเป็นแบบประกันชีวิตที่มีระยะเวลาสัญญาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปีเท่านั้นครับ

ซึ่งถ้าใครที่ยังไม่ได้ซื้อทั้ง LTF/RMF ประกันแบบบำนาญ ประกันชีวิต รวมถึงประกันสุขภาพแล้วละก็ ผมแนะนำว่าให้ซื้อได้เลยนะครับ เพราะว่าเหลือเวลาไม่กี่สัปดาห์แล้วที่จะเอาสิทธิ์ในการซื้อสินค้าเหล่านี้เพื่อไปลดหย่อนภาษีครับ

และผมก็เชื่อว่าคนส่วนใหญ่เองก็มักจะลงทุนกับกองทุน LTF/RMF กันไปเป็นที่เรียบร้อย หรือ อาจจะยังซื้อไม่ครบบ้าง แต่ส่วนใหญ่อาจจะลืมนึกถึงการลดหย่อนภาษีผ่านประกันในรูปแบบต่าง ๆ ครับ โดยเฉพาะประกันแบบบำนาญที่บางท่านไม่ทราบว่ามีประกันในรูปแบบนี้อยู่ด้วยครับ

ดังนั้น วันนี้ ผมจะพาทุกท่านไปลดหย่อนภาษี แบบ#คิดแล้วว่าคุ้ม คิดแล้วคุ้มต้องมีประกัน 3 อย่างนี้ คือ iRetire,  iShield และ LifeProtect 18

มาที่อย่างแรกกันเลยครับ นั่นก็คือ ประกันชีวิตแบบบำนาญ ที่หลาย ๆ คนไม่ค่อยซื้อกัน ซึ่งจริง ๆ แล้วผมมองว่าเป็นแบบประกันที่ดีมาก ๆ เนื่องจากจะเป็นตัวที่สร้างบำนาญให้กับเราครับ เอาเป็นว่าใครทำไว้รับรองว่าไม่จนแน่ ๆ ครับ

iRetire ประกันชีวิตแบบบำนาญ

โดยปกติคนส่วนใหญ่ที่ไม่ค่อยสนใจประกันแบบบำนาญนั่นก็เพราะว่า ชอบคิดว่าประกันแบบนี้ต้องส่งเบี้ยยาว ๆ กันไป บางครั้งก็จนถึงอายุ 55 ปีเลยครับ แต่สำหรับ iRetire นี้ส่งสั้น ๆ ไม่นานเลยคือแค่ 5 ปี หรือจะเลือกแบบส่ง 1 ปีก็ได้ครับ

ซึ่งก็จะเหมาะกับคนที่ต้องการวางแผนการเงิน วางแผนภาษีโดยเฉพาะ อย่างผมเองก็ซื้อประกันแบบนี้ไว้ เนื่องจากบางปีผมมีเงินเหลืออยู่แต่ไม่อยากซื้อประกันที่มีระยะเวลาต่อเนื่องยาว ๆ และต้องการวางแผนภาษีไปด้วย คือใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีให้มากขึ้น ผมก็จะทำแบบส่งเบี้ยเพียง 1 ปีครับ

หรือถ้าใครอยากวางแผนเกษียณแบบจริงจัง เรื่องลดหย่อนภาษีเป็นเรื่องรอง ก็ซื้อแบบส่งเบี้ย 5 ปีก็ได้ครับ ไม่นานเกินไป และได้แผนเกษียณด้วย

นอกจากนี้ การซื้อ iRetire ก็ให้บำนาญที่ค่อนข้างจะดีครับ คือ ได้ 20% ของทุน หรือของจำนวนเงินเอาประกัน แต่ต้องเป็นแบบส่ง 5 ปีนะครับ ถือว่าให้บำนาญที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว

ที่ดีมาก ๆ ก็คือ เราสามารถขอรับบำนาญเป็นรายเดือน หรือรายปีก็ได้ครับ สะดวกในการวางแผนหลังเกษียณ และ ควบคุมค่าใช้จ่ายหลังเกษียณมาก ๆ เลยครับ

และสุดท้ายคือมีความคุ้มครองให้กับผู้ถือกรมธรรม์อีกด้วยครับ

กรมธรรม์ถัดไปก็คือ

iShield (ประกันชีวิตแบบคุ้มครองชีวิต และ โรคร้ายแรง)

โดยส่วนใหญ่เวลาที่เราซื้อประกันเพื่อลดหย่อนภาษี ก็มักจะนึกถึงว่ากรมธรรม์ที่เราซื้อไปนั้น จะให้ทุนประกันที่สูงพอกับครอบครัวของเราหรือไม่ รวมถึงระยะเวลาการจ่ายเบี้ยด้วยว่าระยะยาวแค่ไหน คุ้มครองอะไรบ้าง จะต้องเพิ่มเบี้ยให้สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ รึเปล่า

ในอดีตประกันชีวิตแบบเดิม ๆ ก็มักจะมีการจ่ายเบี้ยที่ยาวนาน บางครั้งก็จ่ายไปตลอดชีวิตเลย แถมอายุมากขึ้นก็ต้องจ่ายเบี้ยที่สูงตาม เงินที่จ่ายไปก็หายไป ไม่มีเงินก้อนกลับมาให้

บางที่ก็ไม่ได้มีความคุ้มครองโรคร้ายแรงในระยะแรกให้กับเรา ต้องรอเป็นเยอะ หรือว่าตรวจเจอตอนเป็นเยอะ ๆ แล้วก่อนจึงจะได้ความคุ้มครอง

แต่ถ้าเป็นประกันสมัยใหม่อย่าง iShield ผู้ซื้อกรมธรรม์จะไม่ต้องกังวลเรื่องเหล่านี้ เพราะว่า iShield จะให้เราเลือกได้ครับว่าจะจ่ายเบี้ยไปกี่ปี เช่น 5 ปี หรือ 10 ปีก็ได้ครับ แถมเบี้ยก็ไม่ปรับเพิ่ม และพอครบกำหนดสัญญาก็มีเงินคืนให้อีกด้วย

ดังนั้น ใครที่มีเงินเหลือ และใช้สิทธิ์ประกันยังไม่ครบ แล้วอยากจะลดหย่อนภาษีแบบที่จ่ายเบี้ยไม่หนัก ไม่ต้องจ่ายมากขึ้น กำหนดระยะเวลาในการจ่ายได้ และมีความคุ้มครองโรคร้ายแรงต่าง ๆ อย่างครบถ้วน ไม่เสียประโยชน์จากเบี้ยที่จ่ายไปทุกๆ ปี เพราะว่าสุดท้ายก็มีเงินคืนให้แบบนี้ iShield นี้ก็ถือว่ามีความน่าสนใจมากๆ

ประกันลดหย่อนภาษีตัวสุดท้ายของครั้งนี้ก็คือ LifeProtect 18

โดยปรกติแล้วแบบประกันแบบเดิม ๆ นั้น ความคุ้มครองจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามเบี้ยประกันที่จ่ายไป แต่ถ้าเป็นประกันรูปแบบใหม่อย่าง LifeProtect 18 นี้จะสร้างหลักประกันให้กับเราตั้งแต่ที่ชำระเบี้ยวันแรกครับ

แถมประกันรูปแบบนี้ ยังสามารถเอาไปวางแผนมรดก หรือ วางแผนการเงินส่งเงินก้อนต่อให้ลูกหลานได้ด้วยนะครับ

เพราะว่าเมื่อครบจ่ายเบี้ยครบ 18 ปี หลังจากนั้นเราก็จะได้ความคุ้มครองไปถึงอายุ 88 ครับ และได้เงินก้อนออกมาหลังจากอายุ 88 ปีไปแล้วขึ้นกับว่าเราเริ่มต้นจ่ายเบี้ยเมื่อไหร่ครับ

ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ช่วงอายุที่เท่าไหร่ก็สามารถซื้อประกัน lifeProtect เพื่อวางแผนภาษี สร้างความมั่นคงในชีวิต และมีเงินเหลือให้ลูกหลานได้ในครั้งเดียวครับ ที่สำคัญ ถ้าวางแผนตั้งแต่อายุน้อย ๆ การจ่ายเบี้ยก็น้อยลงไปด้วยครับ จึงเหมาะกับคนในแต่ละวัยมาก ๆ ครับ

สรุป…..เมื่อเราทำงานแล้วมีรายได้ สิ่งหนึ่งที่เป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็น จ่ายทุกปี และต้องจ่ายก็คือภาษี แต่ว่าถ้าเราวางแผนการเงินเป็น รู้จักสินค้าลดหย่อนภาษีเป็นอย่างดี ผมคิดว่า เราก็สามารถที่จะจ่ายภาษีลดลง พร้อม ๆ กับการสร้างความมั่งคั่งในรูปแบบของตัวเองได้ เช่นบางคนอยากจะได้แผนเกษียณที่จะมีเงินใช้ไปตลอด ก็อาจจะลดหย่อนภาษีด้วย RMF และประกันแบบบำนาญ

บางคนอาจจะอยากลดหย่อนภาษี พร้อมกับลดความกังวลเรื่องสุขภาพ และโรคร้ายแรงที่สมัยนี้ไม่ได้ร้ายแรงแค่เรา แต่ร้ายแรงกับคนรอข้างด้วย เนื่องจากถ้าไม่มีค่ารักษา หรือค่าชดเชยใด ๆ คนทั้งบ้านต้องเดือนร้อนไปพร้อมกับเราแน่ ๆ ครับ ก็อาจจะเริ่มทำประกันที่คุ้มครองชีวิต และโรคร้ายแรงไปด้วยครับ

หรือบางคนก็อาจจะต้องการวางแผนระยะยาวให้กับลูกหลาน เตรียมมรดก หรือเงินก้อนไว้ให้ แต่ระหว่างทางก็มีความคุ้มครองไปด้วย ก็สามารถที่จะเลือกใช้สินค้าลดหย่อนภาษีเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ครับ

ดังนั้น คนที่จะวางแผนการเงิน การลดหย่อนภาษีได้ดีที่สุดไม่ใช่ใคร นอกจากตัวเราเองที่รู้ว่าต้องการอะไร และมีเงินเหลือเท่าไหร่ ต้องเลือกกรมธรรม์ไหน จ่ายกี่ปีครับ ถ้าเราจับทางได้แล้ว ก็จะได้แผนการเงินที่เหมาะกับเราแล้วครับ

ส่วนตัวผมเองก็ต้องรีบไปซื้อกองทุน RMF และประกันแบบบำนาญก่อนนะครับ เพื่อรักษาสิทธิ์ลดหย่อนภาษีของตนเอง และได้แผนเกษียณแบบยั่งยืนไปด้วย

วันนี้ต้องขอลาไปก่อน ไปต่อ แบบไม่รอแล้วนะคร้าบบบบบ สวัสดีครับ

บทความนี้เป็น Advertorial