[WEEKLY OUTLOOK กับอัศวินกองทุน] สรุปภาพรวมการลงทุน ช่วงวันที่ 26-30 ธันวาคม 2559

สวัสดีครับ พบกับคอลัมน์ Weekly Outlook ครั้งที่ 28 ครั้งสุดท้ายสำหรับปี 2559 กันแล้วครับ ยังอยู่กับผมคนเดิม “อัศวินกองทุน” ครับผม มาดูกันดีกว่าครับว่าภาพรวมการลงทุนสำหรับวันที่ 26-30 ธันวาคม 2559 นี้เป็นยังไงบ้างครับ

สืบเนื่องจากนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีแนวโน้มเน้นการปฏิรูปและไม่สนับสนุนการเปิดเสรีทางการค้า ผมมองว่าจะทำให้ทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความแตกต่างจากรัฐบาลชุดก่อนค่อนข้างชัดเจนครับ โดยเน้นให้ความสำคัญกับการเพิ่มอุปสงค์ภายในประเทศ (โดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุน ผ่านมาตรการภาษี) เน้นนโยบายปกป้องการค้าของสหรัฐฯ มีความชัดเจนที่จะปฏิเสธผู้ลี้ภัยต่างชาติและแรงงานต่างชาติ เมื่อเป็นแบบนี้ มันส่งผลกระทบต่อมุมมองทั่วโลกอย่างไรบ้าง มาดูกันครับ

คลิกเพื่อดูภาพใหญ่

สรุปภาพรวมประจำสัปดาห์
“จับตานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการค้าสหรัฐฯ”

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (=)

ผมมองว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้สะท้อนราคาหุ้นในตลาดไปมากแล้ว ทำให้ราคาต่อมูลค่าพื้นฐานของตลาดหุ้นค่อนข้างแพง โอกาสในการปรับขึ้นจึงมีน้อยครับ ดังนั้น ในช่วงนี้สำหรับคนที่มีหุ้นสหรัฐ ควรคงการทุนกันไปก่อนครับ

ตลาดหุ้นยุโรป (+)

ทางฝั่งยุโรปนั้น ผมจับตาข่าวการเพิ่มทุนของธนาคาร Monte dei Paschi di Siena ของอิตาลีว่าจะสำเร็จหรือไม่ครับ เพราะถ้าไม่สำเร็จแล้วล่ะก็อาจจะมีปัญหาได้เลยล่ะครับ แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็มองว่าธนาคารอิตาลียังมีสัดส่วนไม่มากในตลาดหุ้น ขณะที่ภาพรวมผลประกอบการธนาคารในยุโรปมีแนวโน้มดีขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ดังนั้น ณ ขณะนี้ ผมว่ายังสามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปได้อยู่ครับ

ตลาดหุ้นจีน (A-SHARE + / H-SHARE +)

ทางฝั่งเศรษฐกิจจีนนั้น มีสัญญาณดีขึ้นต่อเนื่อง แต่ประเด็นการเข้าควบคุมผลิตภัณฑ์การเงินที่มีความเสี่ยง WMPs อาจส่งผลต่อสภาพคล่องในการลงทุนของตลาดหุ้นในประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าตลาดหุ้นได้สะท้อนประเด็นนี้ไปมากแล้ว ประกอบกับ ราคาต่อมูลค่าพื้นฐานยังมีความน่าสนใจอยู่ ผมว่าเพิ่มสัดส่วนการลงทุนได้อยู่นะครับ ทั้งตลาดหุ้น A-SHARE และ H-SHARE ได้อยู่ครับผม

ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (=)

ธนาคารกลางญี่ปุ่นประเมินเศรษฐกิจดีขึ้นเมื่อเทียบกับการประชุมครั้งก่อน โดยยังคงเป้าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ไว้ที่ 0% ซึ่งเป็นนัยว่า ธนาคารกลางจะเริ่มชะลอการขยายวงเงินการซื้อสินทรัพย์ ซึ่งไม่สนับสนุนให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าได้ต่อเนื่อง คำแนะนำของผมจึงอยากให้คงสัดส่วนการลงทุนไปก่อนครับ

ตลาดหุ้นเกาหลี (=)

ทางฝั่งตลาดหุ้นเกาหลีนั้น ผมมองว่ามีเม็ดเงินลงทุนสะสมของนักลงทุนต่างชาติที่ค่อนข้างมาก ในช่วงปลายปีนี้ จึงมีโอกาสในการทยอยขายเพื่อทำกำไร นอกจากนี้ นโยบายทางด้านการค้าของ โดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจส่งออกอย่างประเทศเกาหลีใต้เช่นกัน แบบนี้ผมยังยืนยันให้คงการลงทุนไปก่อนดีกว่าครับผม

ตลาดหุ้นไทย (+)

แนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะยังคงได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายภาคเอกชน การลงทุนภาครัฐ และราคาน้ำมันที่ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการปรับลดกำลังการผลิตของผู้ผลิตรายใหญ่ และเงินที่เข้ามาลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีปลายปี แบบนี้โอกาสยังคงดีอยู่ครับที่เราจะลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อไป เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในโค้งสุดท้ายแบบนี้กันไปเลยครับ

ตลาดหุ้นอินเดีย (+)

ผมมองว่าเศรษฐกิจอินเดียในภาพรวมยังคงมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีจากการปฎิรูปโครงสร้างภาษี และพื้นฐานเศรษฐกิจที่พึ่งพาการบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก นอกจากนี้ดัชนีที่ปรับตัวลดลงมาได้สะท้อนปัจจัยลบที่เกิดขึ้นไปมากแล้ว และผมยังยืนยันนั่งยันนอนยันว่าควรเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียกันต่อไปครับ

เงินสดและกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น (+)

คราวนี้มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนะครับ ผมมองว่าตอนนี้ราคาต่อมูลค่าพื้นฐานของตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วค่อนข้างแพง ขณะที่ตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่มีความเสี่ยงจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ จึงแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในเงินสดมากขึ้นครับ

น้ำมัน (+)

ความร่วมมือที่เกิดขึ้นจะช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับแนวโน้มการเร่งตัวของเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น จะส่งผลให้ความต้องการน้ำมันดิบมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไปด้วยครับ ดังนั้นผมมองว่าควรเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในน้ำมันครับ

ทองคำ (+)

เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์เริ่มมีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบแคบ ส่งผลให้ปัจจัยลบต่อราคาทองคำลดลง ขณะที่มีปัจจัยเสี่ยงจากการก่อการร้ายในเยอรมัน และประเด็นการเพิ่มทุนของธนาคารอิตาลี ปัจจัยเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้เราควรลงทุนในทองคำเพิ่มขึ้นครับ

ตราสารหนี้ไทย (=)

ดัชนีพันธบัตรรัฐบาลไทยช่วงอายุ 1-3 ปีปรับตัวลงตามทิศทางตลาดพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลก หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแล้ว อย่างไรก็ตาม การใช้ตราสารหนี้ในการกระจายความเสี่ยงเหมือนเช่นเคยครับ ผมคิดว่ายังควรคงสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ไว้บ้างนะครับ

สรุปสำหรับแนวโน้มการลงทุนในสัปดาห์นี้ โดยรวมๆแล้วผลของการปรับอัตราดอกเบี้ยของ FED นั้นมีอยู่ครับ แต่ในตลาดเอเชียยังไปต่อได้อยู่ครับ ดังนั้นกระจายการลงทุนให้ดี รับรองว่ามีผลตอบแทนส่งท้ายในปลายปีนี้ครับ

เอาล่ะครับ สำหรับคอลัมน์ส่งท้ายปีแบบนี้ ผมขอถือโอกาสอวยพรให้ทุกคนที่อ่านประสบผลสำเร็จในกา