สวัสดีครับนักลงทุนทุกท่าน ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้น ตลาดการลงทุนทั่วโลกก็กลับมาคึกคักกันอีกครั้ง หลังจากการเลือกตั้งในประเทศสหรัฐ ฯ ที่น่าจะเป็นที่แน่นอนแล้วว่า โจ ไบเดน ได้คะแนนเสียงที่มากกว่า และก้าวขึ้นสู่การเป็นว่าที่ประธานาธิบดีของสหรัฐ ฯ คนที่ 46 ทำให้ตลาดการลงทุนในช่วงนี้เองก็ปรับตัวสูงขึ้นรับข่าวการเปลี่ยนแปลงนี้

นอกจากนี้ตลาดหุ้นเองก็ตอบรับความสำเร็จการทดลองวัคซีน COVID-19 กับคนจริง ๆ ของบริษัทไฟเซอร์ และ โมเดอน่า ที่พบว่าช่วยสร้างภูมิคุ้มกันได้ และมีประสิทธิภาพถึง 90-95% เลยทีเดียว ถือว่าเป็นการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกติดต่อกันในไม่กี่วัน

แต่การปรับตัวขึ้นแบบนี้ก็แน่นอนว่า ความเสี่ยงของการลงทุนก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเช่นกันครับ เราจะเริ่มเห็นแล้วว่าบางตลาดก็มีการปรับฐาน ปรับตัวลดลงมาบ้างหลังจากที่ขึ้นมาเพราะข่าวดีก่อนหน้านี้

ซึ่งถ้านักลงทุนมองว่าเป็นความเสี่ยง เพราะอาจจะคิดว่าตลาดหุ้นชั่วคราวเพราะข่าวดี แต่พอเจอตัวเลขทางเศรษฐกิจจริง ๆ ก็อาจจะปรับตัวลดลงไปได้อีก ซึ่งผมเองก็ได้รับคำถามเหล่านี้มาพอสมควรว่า จะรอเข้าลงทุนในตอนที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมากกว่านี้ดีไหม หรือว่าเข้าลงทุนเลยจะดีกว่า

ผมคงต้องเรียนนักลงทุนท่านในเพจคลินิกกองทุนแห่งนี้ว่า สิ่งที่เราควรทำตอนนี้ ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องจะกลับไปลงทุน หรือว่ารอให้ตลาดหุ้นลงไปมากกว่านี้ แต่คำถามควรจะเป็นว่า

“เราจะลงทุนในสินทรัพย์ประเภทไหนดี ?” มากกว่าครับ

ทั้งนี้ก็เพราะว่า หากเราเลือกสินทรัพย์ผิด ต่อให้ได้สินทรัพย์มาในราคาถูก แต่การเติบโตก็อาจจะไม่ดีอย่างที่คิดครับ ดังนั้นเราก็ควรจะได้ของดีราคาถูก เพื่อทำให้พอร์ตการลงทุนในระยะยาวของเราเป็นไปตามเป้าหมาย และ เกิดผลดีที่สุดกับเงินลงทุนของเราครับ

ถ้าหากเราเลือกหุ้น หรือ เลือกสินทรัพย์ที่ดีได้แล้ว ผมคิดว่าด้วยตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังผันผวนอยู่นี้ ก็ถือว่าเป็นเวลาที่เหมาะมากสำหรับการทยอยสะสมหุ้น หรือ สินทรัพย์ที่ดี เพราะว่ามีโอกาสที่เราจะได้สินทรัพย์ที่มีราคาไม่แพงได้มากกว่า การลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นขาขึ้นชัดเจน

โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ตลาดหุ้นเริ่มได้รับอานิสงส์จากการที่หลาย ๆ ประเทศทั่วโลกกำลังทำ QE หรือ นโยบายทางการเงินเชิงปริมาณแบบผ่อนคลาย ที่เข้าไปซื้อสินทรัพย์ทางการเงินอย่างมหาศาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินหน้าไป นั่นก็หมายความว่าในอนาคตก็มีโอกาสที่ราคาหุ้นทั่วโลกจะเพิ่มสูงขึ้นได้อีกครับ

ดังนั้นวันนี้ ผมจะมาเล่าให้ฟังถึงสินทรัพย์ที่น่าลงทุนในช่วงนี้กันครับ ผมมองว่าสินทรัพย์ที่ดีในการลงทุนนั้น ควรจะประกอบไปด้วย

1. เป็นสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตในระยะยาวได้ เป็นประเทศที่มีการเติบโตสูง หรือจะเป็นกลุ่มธุรกิจที่เป็นที่ต้องการของตลาด หรือมาทดแทนการทำธุรกิจแบบเดิม ๆ ก็ถือว่ามีความน่าสนใจ

2. เป็นสินทรัพย์ที่ราคาไม่แพง หรือว่ากำลังเป็นสินทรัพย์อยู่ในช่วงที่มีโอกาสฟื้นตัวได้จาก COVID-19

3. เป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนเริ่มให้ความสนใจ และ มี Fund Flow เข้าไปลงทุน

ดังนั้นเมื่อพิจารณารายละเอียดทั้งสามข้อนี้แล้ว ผมคิดว่าสินทรัพย์ที่น่าสนใจในช่วงนี้ก็ได้แก่ หุ้นไทยที่รอการฟื้นตัว หุ้นที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี และ หุ้นกลุ่มสุขภาพ รวมไปถึงสินทรัพย์อะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจยุคใหม่ ๆ ทั่วโลก

ซึ่งราคาของสินทรัพย์เหล่านี้ถือแม้ว่าจะปรับตัวขึ้นไปสูงแล้วก็ตาม แต่ด้วยการเติบโตของรายได้ที่สูงมากก็ทำให้การลงทุนผ่านหุ้นเทคโนโลยียังคงมีความน่าสนใจอยู่ แต่ในส่วนของหุ้นกลุ่มสุขภาพ หรือว่า Healthcare นั้นยังปรับตัวขึ้นไม่สูงมากนัก และยังมีการเติบโตของรายได้ที่ดีอีกด้วยครับ เอาเป็นว่าเป็นตัวเลือกแรก ๆ ในสินทรัพย์ที่น่าสนใจเลยครับ

คราวนี้เรามาดูที่หุ้นไทยกันก่อนครับ ผมคิดว่าหุ้นไทยเองก็ยังคงมีความน่าสนใจ เนื่องจากเราทุกคนทราบดีว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่เน้นเรื่องของการท่องเที่ยว หากเรามีวัคซีนควบคุมโรค COVID-19 ได้แล้ว ต่างชาติก็น่าจะเริ่มกลับมาลงทุนในประเทศไทยอีกครั้ง

และผมคิดว่าประเทศไทยเองก็น่าจะฟื้นตัวได้บ้าง และ แน่นอนว่าตลาดการลงทุนก็ต้องกลับมาคึกคักอีกครั้งแน่ ๆ ครับ แต่ทั้งนี้นักลงทุนเองก็ต้องทำการบ้านให้หนักขึ้น เพื่อเฟ้นหากองทุนที่ดี ที่เลือกสินทรัพย์ในขณะฟื้นตัวได้ดีครับ และมีการกระจายการลงทุนที่เหมาะสมด้วย

นอกจากนี้หากนักลงทุนอยากจะลดความเสี่ยงลงอีกจริง ๆ ก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าจะช่วยลดอัตราการขาดทุนลงไปได้อีก เปรียบเสมือนกับมี Margin Of Safety อีกชั้นนึง ก็คือการลงทุนในสินทรัพย์ที่ผมได้เขียนมาทั้งหมดผ่านกองทุนที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษี เช่น RMF หรือ SSF ครับ

คราวนี้เรามาดูกองทุนที่จะมาเป็นพระเอกในปีนี้ และปีหน้ากันครับ

ผมจะขอยกตัวอย่างกองทุนที่มีการปรับเปลี่ยนธีมการลงทุนให้เข้าสถานการณ์การลงทุนอยู่ทุก ๆ ปีก็คือ บัวหลวงทศพล RMF ที่มีสไลต์การลงทุนที่ไม่เหมือนใคร คือเน้นลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสเติบโตที่สุด 10 ตัว เท่านั้นครับ หมายความว่า ลงทุนในหุ้นเพียงไม่กี่ตัว แต่เป็นที่หุ้นที่เลือกมาแล้วว่ามีความน่าสนใจ และเติบโตได้นั่นเองครับ

โดยกองทุนนี้จะเน้นการคัดเลือกหุ้นที่มีโอกาสในปีนั้น ๆ หรือ เป็น ธีมการลงทุนที่ได้รับความนิยม มีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง พร้อมกับดูพื้นฐานของหุ้น และ ราคาหุ้นที่ลงทุนไม่แพง หรือมีมูลค่าที่เหมาะสมในการลงทุนครับ

แต่สำหรับ กองทุนบัวหลวงตราสารทุน RMF ที่ถึงแม้ว่าจะเป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นไทยเหมือนกัน แต่ก็มีแนวทางบริหารจัดการที่แตกต่างกัน คือ ลงทุนในหุ้นไทย และเน้นกระจายความเสี่ยง เลือกหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตได้ในระยะยาว อาจจะไม่ได้มีธีมที่ชัดเจนเหมือนกับกองทุนบัวหลวงทศพล RMF ดังนั้นกองทุนบัวหลวงตราสารทุน RMF จะมีการลงทุนที่กว้างกว่า กระจายกว่า ทำให้มีความผันผวนน้อยกว่า

ซึ่งก็ถ้าใครคิดว่าอยากจะลงทุนเพื่อรอตลาดหุ้นไทยฟื้น แล้วต้องการกระจายความเสี่ยง ผมคิดว่ากองทุนบัวหลวงตราสารทุน RMF น่าจะเหมาะมากครับ

ส่วนอีกทางนึงที่ผมคิดว่า ถ้าหากเราอยากจะการกระจายความเสี่ยงที่ดีขึ้น ก็ควรที่จะลงทุนทั้งใน และ ต่างประเทศด้วย เพื่อให้ความผันผวนต่าง ๆ ลดลงครับ เช่นลงทุนในหุ้นไทยแล้ว ก็คงต้องลงทุนในกองทุนหุ้นเทคโนโลยี และ กลุ่มสุขภาพไปพร้อม ๆ กันครับ

และต้องบอกกับนักลงทุนทุกท่านว่า ผมยังคิดว่าการเติบโตของหุ้นเทคโนโลยี และ หุ้นกลุ่มสุขภาพนั้นน่าจะมีโอกาสเติบโตได้เร็วพอสมควรเลยครับ เอาเป็นว่าระหว่างทางการลงทุนในหุ้นไทย เราก็สามารถลงทุนในต่างประเทศ เพื่อ Enjoy ผลตอบแทนไปก่อนอนได้ครับ

เพราะว่าในช่วงที่ COVID-19 ระบาดนั้น หลาย ๆ ท่านก็เข้ามามีส่วนในด้านเทคโนโลยีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสั่งของออนไลน์ ประชุมออนไลน์ หรือแม้แต่เล่นเกมส์ออนไลน์กันมากขึ้น ทั้งนี้สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี แต่ก็เกิดขึ้นกับกลุ่มของสุขภาพด้วยเช่นกันครับ เราจะเริ่มเห็น TeleMed หรือการพูดคุยกับแพทย์แบบออนไลน์มีบทบาทมากขึ้นไปด้วยครับ

ก็ยิ่งจะเสริมให้ทุกคนเข้าถึงการรักษา และ ประหยัดต้นทุนในการดูแลสุขภาพไปได้มากเลยทีเดียวครับ และก็ทำให้บริษัทที่ได้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้เติบโตขึ้นไปอย่างรวดเร็วครับ

ดังนั้นเรามาดูกองทุนที่น่าสนในกันครับนั่นก็คือ

กองทุน BCARERMF และ B-INNOTECHRMF

ต้องถือว่ากองทุน กองทุน BCARERMF และ B-INNOTECHRMF เป็นกองทุนคู่หูแห่งยุคเลยครับ เนื่องจากว่าเป็นกองทุนกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็น Mega Trend ของโลกใบนี้ เพราะว่ายุคนี้เป็นช่วงเปลี่ยนถ่ายจากยุค Old Economy ไปเป็น New Economy อย่างแท้จริง ซึ่งการเปลี่ยนถ่ายยุคนั้น การลงทุนผ่านเทคโนโลยี และ การลงทุนด้านสุขภาพถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ครับ

แน่นอนครับว่ากองทุน  BCARERMF เป็นหนึ่งในกองทุนที่พลาดไม่ได้ เนื่องจากกองทุนนี้เป็นกองทุนที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในกลุ่มสุขภาพ หรือ Healthcare นั่นเอง และกลุ่มนี้เป็นกลุ่มธุรกิจที่กำลังเติบโตได้ดี และเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ เช่นการรักษาโรคมะเร็งแบบใหม่ที่ไม่ได้ใช้ คีโม ในการรักษา หรือการรักษาโรคทางพันธุกรรมโดยการใช้การตัดต่อยีนเข้ามาช่วย และที่สำคัญการพัฒนาของวัคซีนโรค COVID-19 นี้ก็กระตุ้นให้คนมาสนใจลงทุนกันมากขึ้นครับ ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีเลย

แต่การลงทุนระยะยาวกับ Healthcare ก็ยังคงเป็นทางเลือกที่ดีไปได้อีกไกล เนื่องจากยังคงมีโรคที่รักษาไม่หายที่ยังรอยาตัวใหม่ ๆ วัคซีนใหม่ ๆ หรือ แม้แต่อุปกรณ์แพทย์ดี ๆ ที่จะมาช่วยรักษาโรคต่าง ๆ ให้หายขาดได้อีกมาก

ส่วนกองทุน B-INNOTECHRMF นั้นเป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีการใช้กันอย่างกว้างขว้าง ส่วนใหญ่เป็นผู้ให้บริการนวัตกรรมที่มีเราใช้กันอย่างแพร่หลายอยู่แล้ว เช่น Apple , Google , Microsoft เป็นต้นครับ

ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า สินค้าของบริษัท IT เหล่านี้เป็นที่ต้องการของคนทั่วโลก และยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะว่าสินค้า IT นั้นจะช่วยทำให้การทำงานสะดวกมากขึ้น รวมไปถึงการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ง่ายมากขึ้น ก็ทำให้บริษัท หรือ องค์กรต่าง ๆ ก็พยายามปรับเปลี่ยนองค์กรให้ทันสมัยมากขึ้น หรือที่เราเรียกว่า การทำ Tranformation องค์กร และธุรกิจ ก็ยิ่งกระตุ้นให้มีการใช้งาน หรือ ใช้สินค้า IT เหล่านี้มากขึ้นตามไปด้วยครับ

ซึ่งด้วยลักษณะของกองทุนทั้งสองประเภทนี้ ล้วนแล้วแต่เหมาะกับการทำเป็นกองทุน RMF อย่างมากครับ เนื่องจากเทคโนโลยี และ สุขภาพนั้น ผมคิดว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกค่อนข้างไกล และ มาก เช่นตลาดสุขภาพนั้น ในอดีตมีการเติบโตประมาณ 3-4% เท่านั้น แต่ ณ ปัจจุบันด้วยที่คนทั้งโลกเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และ มีการดูแลสุขภาพมากขึ้น ทำให้การเติบโตในปี 2019 เป็นต้นไปนั้นมีโอกาสเติบโตประมาณ 5-6% เป็นอย่างน้อยครับ ซึ่งยิ่งลงทุนยาว ๆ ได้ ก็ยิ่งมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีมากขึ้นไปอีกครับ เอาเป็นว่าได้เงินเกษียณที่ไม่น้อยเลยทีเดียวครับ

ถ้าสนใจข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูรายละเอียดกองทุน RMF ได้ที่เว็ปไซต์ www.bblam.co.th แถมทางกองทุนบัวหลวงยังฝากบอกมาด้วยครับว่า ช่วงนี้ใครที่ลงทุนกองทุนโดยซื้อผ่านบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ มีโอกาสรับโปรโมชั่นถึง 3 ต่อดังนี้

• ต่อที่ 1 เมื่อซื้อ SSF หรือ RMF ผ่านบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ และแลกใช้คะแนนสะสม Thank You Reward ทุก 1,000 คะแนน รับเครดิตเงินคืน 100 บาท

• ต่อที่ 2 สำหรับลูกค้าที่เปิดบัญชีใหม่กองทุน SSF หรือ RMF  และแลกใช้คะแนนสะสม Thank You Reward เพื่อซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนบัวหลวงที่เปิดบัญชีใหม่ มีสิทธิ์รับ Starbuck e-Coupon มูลค่า 100 บาท (จำกัดมูลค่าสูงสุด 100 บาท/ท่าน และจำกัด 1,000 สิทธิ์ต่อเดือน)

• ต่อที่ 3 สำหรับลูกค้าที่ลงทุน SSF หรือ RMF ครบ 5 ครั้งขึ้นไป และมียอดเงินลงทุนรวมกัน 150,000 บาทขึ้นไป ระหว่างวันที่ 2 ม.ค. 63 - 30 ธ.ค. 63 รับ Starbuck e-Coupon มูลค่า 300 บาท/ท่าน

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ นักลงทุนท่าน ผมคิดว่าหลังจากที่ได้อ่านบทความนี้ นักลงทุนในกองทุนทุกท่านน่าจะพอได้ไอเดียในการลงทุน และการปรับพอร์ตการลงทุนของตนเองแล้วใช่ไหมครับ

แต่อย่างที่ผมได้บอกไว้ตอนต้น การลงทุนที่ดีนอกจากจะลงทุนในช่วงที่มีความผันผวนเพราะว่ามีโอกาสได้ราคาสินทรัพย์ที่ไม่แพง แต่เราก็ยังคงต้องมีการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ต่าง ๆ กัน เพื่อให้ช่วยลดความเสี่ยงลง เพราะว่าเราเองก็ไม่มีทางทราบได้เลยว่าความเสี่ยง ความผันผวนจะมาเมื่อไหร่ แต่ถ้าเราเข้าใจความผันผวนเป็นอย่างดี กระจายความเสี่ยงไปกองทุนต่างประเภทกัน หรือต่างประเทศกัน ก็น่าจะช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายได้

และสุดท้ายนี้การลงทุนผ่าน RMF ก็ถือว่ามีความคุ้มค่าทั้งในเรื่องการลดหย่อนภาษี และ แหล่งเงินเกษียณที่ดีให้กับเราครับ

ส่วนวันนี้ผมคงต้องลาไปก่อน แล้วพบกันครั้งหน้าครับ สวัสดีครับ

คำเตือน : 

•    การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น)

•    ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า ข้อมูลสำคัญ นโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง ผลการดำเนินงาน และสิทธิประโยชน์ทางภาษีระบุในคู่มือการลงทุนในกองทุนรวม RMF ก่อนตัดสินใจลงทุน

•    กองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศมิได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมด หรือเกือบทั้งหมด ทั้งนี้อ ยู่ในดุลพินิจของผู้จัดการกองทุน ดังนั้น ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าว หรืออาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้

บทความนี้เป็น Advertorial